Categories
ขนมหวาน

ทับทิมกรอบ ขนมหวานที่อร่อย จนต้องบอกต่อ

ทับทิมกรอบ ขนมหวานขึ้นชื่อของประเทศไทยที่มีสูตรการทำตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น แต่เด็กสมัยนี้กลับไม่รู้จัก! เพราะในปัจจุบันมีความจากต่างประเทศที่เข้ามาดัดแปลงขายอยู่ในไทยมากมาย ทำให้ขนมไทยที่เคยเป็นที่นิยมนั้นเริ่มหายไปตามกาลเวลา แต่ในเมื่อเราเป็นคนไทยเราก็ควรที่จะรักษามันเอาไว้ เพราะฉะนั้นเรามาเรียนรู้การทำทับทิมกรอบกันดีกว่าค่ะ

 ซึ่งวิธีการทำ ทับทิมกรอบ นั้นก็มีอยู่ด้วยกันหลายสูตรหลายวิธิ เช่น ทับทิมกรอบสูตรโบราณ ทับทิมกรอบสูตรชาววัง ทับทิมกรอบอัญชัน และที่พวกเราน่าจะรู้จักกันดีที่สุดคือทับทิมกรอบมะพร้าวกะทิ ซึ่งถ้าจะพูดถึงเรื่องรสชาติของทับทิมกรอบนั้นเราก็คงรู้อยู่แล้วว่ามันทั้งหวานหอมแถมยังหนึบนอกกรอบในอีกต่างหาก  ว่าแต่ว่าทับทิมกรอบที่เราชื่นชอบกันอร่อยขนาดนี้แล้ววิธีการทำเป็นยังไง เรามาดูกันเลยดีกว่าค่ะ

ทับทิมกรอบที่เราจะมาทำกันในวันนี้นั่นก็คือ “ทับทิมกรอบสูตรโบราณ” นั่นเองค่ะ โดยมีวิธีการทำดังนี้

วัตถุดิบ

ทำแป้งทับทิมกรอบ

  1. แป้งมัน 2 ถ้วยตวง
  2. แป้งท้าว ½ ถ้วยตวง
  3. น้ำเปล่า 1 ½ ถ้วยตวง
  4. สารส้ม

น้ำเชื่อม

  1. น้ำลอยดอกมะลิ (ถ้าไม่มีสามารถใช้น้ำเปล่าได้) 2 ถ้วยตวง
  2. น้ำตาลทราย 1 ถ้วยตวง
  3. ใบเตยมัดปม 3 ใบ
  4. เกลือ ประมาณ 1 หยิบ (ไม่ควรใส่มากเกินไป)
  5. ขนุนสุก

กะทิอบควันเทียน (ในวิธีนี้หากมีกะทิอบควันเทียนอยู่แล้วก็สามารถใช้ได้เลย)

  1. กะทิ (ใส่ตามใจชอบ)
  2. ใบเตยมัดปม
  3. เกลือเล็กน้อย
  4. เทียนสำหรับอบขนม

วิธีทำ

วิธีทำแป้งทับทิมกรอบสูตรโบราณ

  1. เริ่มด้วยการนำแป้งมันและแป้งท้าวผสมกันแล้วค่อย ๆ เทน้ำเปล่าใส่จนหมด ค่อย ๆ เทนะคะอย่าเททีเดียวหมดเพราะระหว่างที่เทเนี่ยมือเราก็ควรที่จะนวดแป้งไปด้วย
  2. เมื่อเทน้ำเปล่าจนหมดแล้วคราวนี้เราก็จะมาใช้เจ้าสารส้มที่เราได้เตรียมไว้นั้นแกว่งลงไปเพื่อที่จะให้แป้งนั้นนอนก้น แกว่งสารส้มลงไปประมาณ 1 นาที และพักแป้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง เราก็จะสังเกตได้ว่าจะมีน้ำใส ๆ ลอยอยู่บนผิวแป้ง ให้เราทำการรินน้ำใส ๆ นั้นทิ้งค่ะ
  3. หลังจากนั้นนำแป้งที่ได้เทใส่กล่อง ซึ่งวิธีการเทนั้นก็ต้องนำกระดาษทิชชู่หนา ๆ แล้วผ้าขาวบางมาวางไว้ที่กล่องแล้วจึงเทแป้งที่ได้แล้วลงไปที่ผ้าวขาวบางที่เราได้เตรียมไว้ในกล่องแล้วเพื่อที่เวลาเรานำแป้งออกจะได้ง่ายนั่นเอง
  4. เมื่อเราเทแป้งทับทิมกรอบลงในกล่องเรียบร้อยแล้วเราก็นำสีแดงที่ใช้สำหรับผสมอาหารเจือจางกับน้ำเล็กน้อย หลังจากนั้นนำสีทาลงไปในตอนที่แป้งเปียกได้เลยค่ะ และที่สำคัญคือเราต้องคอยสังเกตหน้าแป้งด้วย ถ้าหน้าแป้งแห้งไม่มากให้โรยแป้งนวลหนา ๆ ไปที่ผิวหน้าแป้งได้เลยค่ะแล้วพักทิ้งไว้ 20 นาที เพื่อที่แป้งนวลจะได้ดูดซับความชื้นออกจากตัวแป้ง
  5.  เมื่อแป้งเซตตัวได้ที่แล้วนำแป้งมาตัด ตัวยาวจะตัดเป็นเส้นเล็ก ๆ ขนาดเท่าไม้ขีดไฟ ตัวสั้นจะตัดเล็ก ๆ เหมือนเม็ดทับทิม โรยแป้งนวลบาง ๆ กันตัวแป้งติดกัน ซึ่งเคล็ดลับ เวลาตัดแป้งก็ควรที่จะทำเบาๆ เพราะแป้งแตกหักง่ายมากโดยเฉพาะตัวยาว ต้องทะนุถนอมให้มาก ๆ และปัญหาที่พบบ่อย ๆ ก็คือแป้งแห้งเกินไปจะตัดตัวยาวไม่ได้เลยเพราะแตกหักหมด

วิธีทำน้ำเชื่อม

วิธีทำน้ำเชื่อมสำหรับทับทิมกรอบสูตรโบราณที่ก็ง่ายมาก ๆ เลยล่ะค่ะ เพียงแค่เติมน้ำลอยดอกมะลิ น้ำตาลทราย ตั้งไฟอ่อนไม่ต้องคนนะคะ พอร้อนก็ใส่ใบเตย เกลือ พอน้ำตาลละลายหมดให้ต้มต่ออีกประมาณ 10 นาที จากนั้นแบ่งน้ำเชื่อมบางส่วนที่ยังร้อนตักแช่กับขนุนพักไว้ เพียงเท่านี้เราก็จะได้น้ำเชื่อมที่ไว้ทานกับทับทิมกรอบกันแล้วค่ะ

วิธีทำกะทิอบควันเทียน

วิธีนี้ในปัจจุบันเราก็จะเห็นบริษัทน้ำกะทิหลายบริษัทผลิตออกมาเป็นน้ำกะทิอบควันเทียนกันใช่ไหมคะ แต่วันนี้เราจะพาทกคนมารู้ว่ากะทิอบควันเทียนแบบโบราณเนี่ยเขาทำกันยังไง โดยเราจะนำกะทิตั้งไฟอ่อน พอร้อนก็ใส่ใบเตยลงไป ใส่เกลือลงไปให้ออกเค็มนิดหน่อยพอร้อนห้ามเดือดจะได้ไม่แตกมันนำอบควันเทียนอีก 1ชม. ไม่ยากเลยใช่ไหมล่ะคะ

เมื่อทำครบเสร็จตามนี้แล้วเราก็จะได้ทับทิมกรอบสูตรโบราณมาทานกันแล้ว ทั้งหนึบ กรอบ แถมยังหวานหอมขนาดนี้ ถ้าไม่ทำทานตอนนี้แล้วจะไปทำทานตอนไหนกันล่ะคะ แถมวิธีทำก็ไม่ได้ยากเลย ยิ่งถ้าได้ทำร่วมกันกับคนในครอบครัวในวันว่าง ๆ แล้ล่ะก็จากทับทิมกรอบที่หวานธรรมดา ๆ จะต้องกลายเป็นทับทิมกรอบที่หวานมาก ๆ เลยล่ะค่ะ แต่ก็อย่าทานเยอะเกินไปนะคะเป็นห่วงกลัวว่าน้องเบาหวานจะถามหากันซะก่อน

Categories
ขนมหวาน

กล้วยบวชชี ขนมหวานสูตรทำง่าย

กล้วยบวชชี เป็นขนมหวานโบราณพื้นบ้านคู่กับคนไทยมานาน อีกทั้งกล้วยก็เป็นวัตถุดิบที่หาได้ง่าย หรือเรียกว่ามีให้ใช้ได้ตลอดทั้งปี อยู่ที่ว่าต้องการจะใช้กล้วยชนิดไหนมาทำ เช่น กล้วยน้ำว้า กล้วยไข่  ในส่วนวิธีการทำก็มีขั้นตอนไม่ยุ่งยาก บวกกับเทคนิคเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่จะทำให้ขนมหวานนั้นมีรสชาติดั้งเดิมและยังเป็นขนมที่ได้ประโยชน์สารอาหารจากกล้วยอีกด้วย

วัตถุดิบในการทำกล้วยบวชชี

  1. กล้วยน้ำว้าห่าม 1 หวี
  2. หัวกะทิ  2 ถ้วยตวง ( สามารถใช้กะทิกล่องได้ )
  3. เกลือป่น  1 ช้อนชา
  4. น้ำตาล  200 กรัม
  5. น้ำเปล่า  1 ถ้วย
  6. ใบเตยมัดปม

วิธีทำกล้วยบวชชี

  1. วิธีทำกล้วยบวชชีไม่ให้ฝาด และไม่เละ คือการเลือกกล้วยควรจะเลือก กล้วยน้ำว้าที่หวีห่าม ๆ ที่มีสีเหลืองเจือเขียวเล็กน้อย ให้ทำการปอกเปลือก ผ่าเป็น 4 ชิ้น นำไปต้มในน้ำเดือด ใส่เกลือเล็กน้อย ประมาณ 7 นาที เพื่อให้ยางกล้วยออกก็จะทำให้กล้วยไม่ฝาดได้อีกด้วย
  2. สำหรับหลายคนที่อาจจะกลัวว่ากล้วยจะมีรสเปรี้ยว ก็มีวิธีทำกล้วยบวชชีไม่ให้เปรี้ยวได้โดยการนำกล้วยทั้งเปลือกมาต้มกับน้ำเดือด ใส่เกลือเล็กน้อยใช้เวลาประมาณ 7 นาที จากนั้นนำมาพักไว้ให้เย็น ก่อนปอกเปลือกแล้วผ่าเป็น 4 ชิ้น เท่านี้กล้วยบวชีก็จะไม่มีรสเปรี้ยวแล้ว
  3. นำกะทิใส่หม้อ ใส่น้ำตาล เกลือป่น คนให้น้ำตาลละลายโดยที่ยังไม่ตั้งไฟเพื่อไม่ให้กะทิแตกมัน หากไม่สามารถซื้อกะทิสดได้ ก็ปรับเปลี่ยนเป็นวิธีทำกล้วยบวชชี กะทิกล่อง ได้เช่นกันรสชาติก็จะมียังคงหอมมันไม่แพ้กัน
  4. เมื่อกะทิน้ำตาลละลายดีแล้ว ให้นำขึ้นตั้งไฟ ใส่กล้วยต้มลงไป ต้มต่อประมาณ 10 นาที เพื่อให้กะทิซึมเข้าในเนื้อกล้วย จากนั้นตักเสิร์ฟ

วิธีทำกล้วยบวชชีแบบง่าย ๆ กล้วยสุกกำลังพอดี แต่สำหรับคนที่ชอบกินขนมหวานกล้วยบวชชีนิ่ม ๆ ก็สามารถที่จะต้มต่อได้อีกประมาณ 5-10 นาทีเพื่อให้กล้วยนิ่มขึ้น และยิ่งให้กะทิซึมเข้าเนื้อมากขึ้น ก็จะหวานมันทั้งกะทิและเนื้อกล้วยพร้อมตักเสิร์ฟได้เลย

Categories
ขนมหวาน

ปลากริมไข่เต่า ขนมแชงมาขนมหวานโบราณ

ปลากริมไข่เต่า ที่มา แต่เดิมเป็นขนมหวานเรียกว่าขนมแชงมา เป็นขนมโบราณมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เป็นการกินผสมกัน 2 ชนิดคือ ขนมปลากริม และขนมไข่เต่า ภายในถ้วยเดียวกัน ซึ่งในปัจจุบันนี้จะหาปลากริมไข่เต่า ที่ไหนอร่อย ๆ แบบโบราณดั้งเดิมก็คงจะหายากมาก ๆ แต่ก็ยังมีปลากริมไข่เต่า 7-11 หรือปลากริมไข่เต่าเยาวราชสำหรับคนกำลังหาซื้อ แต่ถ้ามีเวลาทำก็ลองสูตรนี้ได้เลย รสชาติหวานมันเค็มกำลังพอดี วิธีทำละเอียดและทำง่ายมาก ๆ

วัตถุดิบในการทำ ปลากริมไข่เต่า

ตัวแป้งปลากริมไข่เตา ตัวขาวและตัวแดง

  1. แป้งข้าวเจ้า  250 กรัม
  2. แป้งมัน   250 กรัม
  3. น้ำ  1 ถ้วย
  4. หัวกะทิ 2   1/2 ถ้วย
  5. เกลือ   1/4 ช้อนชา

น้ำลอยปลากริม (สีน้ำตาลแดง)

  1. น้ำตาลทรายขาว   250 กรัม
  2. น้ำตาลมะพร้าว   1 กิโลกรัม
  3. น้ำ   2 ถ้วย
  4. ใบเตย (มัดไว้ลอยแต่งกลิ่น)   1-2 มัด

น้ำลอยไข่เต่า (สีขาว)

  1. หางกะทิ 2   1/2 ถ้วย
  2. เกลือ   1/4 ช้อนชา

วิธีทำปลากริมไข่เต่า

  1. น้ำลอยปลากริม (รสหวาน)  กระทะทองใส่น้ำตาลทราย ตั้งไฟอ่อนผัดให้เป็นสีเหลืองเข้ม (คาราเมล) ค่อย ๆ เติมน้ำ 2  ถ้วย เพื่อคลายน้ำตาลที่ร้อน จากนั้นน้ำตาลปีบ/มะพร้าว ใช้ไฟกลาง คนให้ละลายเข้ากันใส่ใบเตยมัดไว้ รอให้เดือดแล้วปิดไฟ
  2.  น้ำลอยไข่เต่า (รสเค็ม) หางกะทิใส่หม้อตั้งไฟแรง ใส่เกลือ คนให้ละลายเข้ากันจนเดือด ปิดไฟพักไว้
  3. ตัวแป้งปลากริมไข่เตา แป้งข้าวเจ้า (ตักแบ่งออกไว้ทำแป้งนวล 3/4 ถ้วย) ใส่น้ำ 1 ถ้วย ผสมกันในหม้อละลายให้แป้งข้น ตักแป้งแล้วเทดูให้หนืด ๆ ตั้งไฟให้ร้อนประมาณ 1 นาที คนตลอดเวลากันแป้งติดก้นหม้อ พอสุก ๆ ดิบ ๆ ยกลงพักไว้ให้พออุ่น
  4. แป้งมัน (ตักแบ่งออกไว้ทำแป้งนวล 3/4 ถ้วย) ไปผสมกับแป้งข้าวเจ้าในข้อ 3 ใส่หัวกะทิ 1/2 ถ้วยนวดจนนุ่มมือ นวดประมาณ 30 นาที ใส่หัวกะทิ 1 ถ้วย เพื่อให้แป้งนุ่มและหอม ใส่เกลือ คนให้ละลาย ตั้งไฟให้พอเดือดแล้วยกลง กวนพอสุก ๆ  ดิบ ๆ แบ่งเป็น 2 ส่วนสำหรับทำตัวแดงและตัวขาว
  5. ตัวแดงหรือปลากริม (รสหวาน) นวดแป้งมันในข้อ 4 กับน้ำเปล่า 1/2 ถ้วย ให้เข้ากันประมาณ 30 นาที เพื่อทำให้แป้งนิ่มและมีความเหนียว แต่ไม่เหลวหรือแข็งจนเกินไป นำไปต้มโดยกดผ่านพิมพ์ เมื่อสุก ใช้กระชอนตักสะเด็ดน้ำไปลอยในน้ำตาลในข้อ 1 รอให้ตัวแป้งดูดน้ำจนอิ่มตัว จะเป็นตัวชูให้ขนมหวาน
  6. ตัวขาวหรือไข่เต่า (รสเค็ม) นำแป้งในข้อ 4 นวดกับหัวกะทิ 1/2 ถ้วย ให้เข้ากันประมาณ 30 นาที เพื่อทำให้แป้งนิ่มและมีความเหนียว นำไปต้มโดยกดผ่านพิมพ์ เมื่อสุก ใช้กระชอนตักสะเด็ดน้ำ ใส่ลงไปลอยในน้ำกะทิในข้อ 2 รอให้ตัวแป้งดูดน้ำกะทิจนอิ่มตัว แป้งจะมีรสเค็มสีขาว
  7. วิธีตักขนมหวานปลากริมไข่เต่า ตักตัวแดงก่อน 1/2 ทัพพี ตัวขาว 1 1/2 ทัพพี ตักตัวขาวมากกว่าเพราะตัวแดงมีรสหวานจัด ตัวขาวมีรสเค็มและมัน เวลารับประทานต้องผสมกันจึงจะหวานมันเค็มพอดี

สำหรับการต้มแป้งปลากริมไข่เต่า ควรจะใช้น้ำเดือดแล้วหรี่ไฟอ่อนถึงกลาง แล้วใช้แป้นพิมพ์วางบนปาก นำแป้งไปกดบนพิมพ์ ให้ออกเป็นเส้นไหลลงหม้อน้ำร้อน เมื่อแป้งสุดจะลอยขึ้นมา ก็จะได้ส่วนผสมของขนมหวานง่าย ๆ จะทำกินเอง หรือจะทำขายก็ได้ ไม่ยากอย่างที่คิด

Categories
ขนมหวาน

บัวลอย ไข่หวานเจ้าเพื่อนยาก ที่วิธีทำไม่ได้ยากอย่างที่คิด

บัวลอยไข่หวานไม่ว่าคนรุ่นไหนก็ต้องรู้จักกันนั้น เพราะ บัวลอย คือขนมหวานขึ้นชื่อที่ไม่ว่า ใครมาเมืองไทยแล้วเป็นต้องลองลิ้มและลิ้มลองกันเป็นแน่นอน ซึ่งถ้าใครได้มีโอกาสไปเดินย่านเยาวราชจะสามารถเห็นได้ชัดเลยว่าย่านนั้นมีร้านบัวลอยไข่หวานร้านดังหลายร้านกันเลยทีเดียว แถมรสชาติก็ถูกปากทั้งหวานทั้งมัน เรียกได้ว่าเป็นขนมหวานที่ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติต่างก็ชื่นชอบกันมากทีเดียวเลยล่ะค่ะ

แต่ถ้าเกิดใครนึกสนุกอยากจะลองทำบัวลอยไข่หวานขึ้นมา เราก็จัดให้ค่ะ เพราะวิธีการทำนั้นง่ายมาก ๆ ใช้มีวัตถุดิบแค่ไม่กี่อย่างแถมระยะเวลาก็ไม่นานมากด้วย ซึ่งในวันนี้เราจะมาสอนเพื่อน ๆ ทำ บัวลอย ไข่หวานด้วยกะทิกล่องกันค่ะ เพราะสามารถหาซื้อได้ง่ายตามร้านสะดวกซื้อทั่วไป ถ้าพร้อมแล้วก็ไปลุยกันเลยค่ะ

วัตถุดิบ

  1. แป้งข้าวเหนียว 150 กรัม
  2. แป้งข้าวเจ้า 15 กรัม
  3. ฟักทอง แครอทแลละดอกอัญชัน สำหรับทำสีแป้งบัวลอยไข่หวาน (เลือกเองได้ตามใจชอบนะคะ)
  4. กะทิกล่องขนาด 250 กรัม
  5. น้ำตาลมะพร้าว ½ ทัพพี
  6. น้ำตาลทราย 1 ทัพพี (สามารถประมาณได้ตามใจชอบ)
  7. ใบเตยมัดปม 1 มัด
  8. เนื้อมะพร้าว (ตามใจชอบ)
  9. เกลือ ประมาณ 1 หยิบ (ไม่ควรเยอะเกินไป)
  10. ไข่ไก่ หรือ ไข่เป็ด

วิธีทำบัวลอยไข่หวานกะทิกล่อง

  1. นำแป้งข้าวเหนียวและแป้งข้าวเจ้าผสมกัน ทำเป็นสัดส่วนไว้สำหรับทำสีแป้ง โดยครั้งนี้เราจะทำด้วยกัน 3 สีค่ะ ซึ่งก็ต้องเตรียมผัก 3 อย่าง นั่นก็คือ ฟักทองสำหรับทำแป้งบัวลอยไข่หวานสีเหลือง แครอทสำหรับทำแป้งบัวลอยไข่หวานสีส้ม และดอกอัญชันสำหรับทำบัวลอยไข่หวานสีฟ้าอมม่วงค่ะ ซึ่งเราก็ต้องนำผักทั้ง 3 อย่างนี้ไปทำให้สุกก่อนจากนั้นจึงนำมานวดกับแป้งที่เราได้แบ่งสัดส่วนสำหรับทำสีไว้
  2. นวดจนสีสม่ำเสมอกันนะคะสามารถเติมน้ำอุ่นได้เพื่อให้การปั้นนั้นง่ายขึ้นค่ะ นวดจนกว่าแป้งจะไม่ติดมือ ถ้ารู้สึกว่าแป้งแห้งไปก็สามารถเติมน้ำได้ค่ะ เมื่อเรานวดแป้งทั้ง 3 สีเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็มาลงมือปั้นแป้งบัวลอยไข่หวานกันเลยค่ะ
  3. ขั้นตอนการปั้นแป้งบัวลอยไข่หวานนี้ง่าย ๆ มากเลยค่ะ เพียงแค่ปั้แป้งนลูกบัวลอยเป็นรูปวงกลมขนาดพอดีคำ หรือใครที่อยากปั้นเป็นรูปต่าง ๆ ก็สามารถทำได้เลยนะคะ  เมื่อปั้นเสร็จแล้วให้นำแป้งข้าวเหนียวคลุกเล็กน้อยเพื่อเวลาที่ต้ม ตัวแป้งบัวลอยไข่หวานที่เราปั้นไว้จะได้ไม่ติดกันนั่นเองค่ะ
  4. เมื่อเราปั้นแป้งบัวลอยไข่หวานเสร็จแล้วเราก็นำมาต้ม โดยเราจะต้องต้มน้ำตั้งไฟให้เดือดแล้วจากนั้นนำแป้งบัวลอยที่ปั้นไว้ลงทีละสี รอจนกว่าบัวลอยจะลอยขึ้นมาถ้าลอยขึ้นมาแล้วก็หมายความว่าสุกแล้วค่ะ
  5. เมื่อบัวลอยสุกเราเราก็จะมานำบัวลอยไปน็อกกับน้ำเย็น อีกอึดใจเดียวเราก็จะได้ทานบัวลอยไข่หวานกันแล้ว
  6. เมื่อเราเตรียมแป้งเสร็จเรียบร้อยแล้วขั้นตอนต่อไปเราก็จะมาทำน้ำกะทิสำหรับทำบัวลอยไข่หวานกันเลยค่ะ โดยเราจะนำกะทิกล่องมาต้มในระหว่างที่ต้มนั้นให้เราใส่น้ำตาลมะพร้าว น้ำตาลทราย เกลือ ใบเตยมัดปมและเนื้อมะพร้าวลงไป
  7.  เมื่อน้ำเริ่มเดือดได้ที่ให้ตอกไข่ลงไป ซึ่งปกติแล้วเราจะเห็นตามร้าน 1 ถ้วยก็จะมีไข่ให้ 1 ใบใช่ไหมคะ แต่ถ้าเราทำกินเองก็ตามใจชอบเลยค่ะ ต้มไว้ประมาณ 4-5 นาที แค่นี้ก็เสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ

เห็นไหมล่ะคะว่าการทำบัวลอยไข่หวานที่ทั้งหอม หวาน มัน เนี่ยไม่ได้ยากเลย ยิ่งถ้าเป็นบัวลอยไข่หวานกะทิกล่องแล้วก็ยิ่งทำง่ายค่ะ เพราะไม่ต้องเสียเวลาไปคั้นน้ำมะพร้าวแบบบัวลอยไข่หวานกะทิสด ซึ่งก็ทำให้เราได้ทานบัวลอยไข่หวานในระยะเวลาที่เร็วยิ่งขึ้น แถมยังเป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์อีกต่างหาก ถ้าหากว่าคุณนึกอยากทำขนมหวานแต่ยังนึกไม่ออกว่าจะทำอะไรดี ก็สามารถทำบัวลอยไข่หวานทานกันได้นะคะ