Categories
หน้าแรก

สูตร ขนมเปี๊ยะ ทำแจกช่วงปีใหม่

ขนมยอดฮิตในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่เราเห็นกันบ่อยๆก็คือ ขนมเปี๊ยะ เชื่อกันว่าเป็นขนมที่มีความหมายเป็นศิริมงคล มักจะใช้ในเทศกาลต่างๆของชาวจีน หรือบ้านเราใช้ในช่วงเทศกาลตรุษจีนกันเป็นส่วนใหญ่ สูตรเปี๊ยะโบราณของชาวจีนจะมีไส้ถั่วและฟัก แต่เมื่อมีวัฒนธรรมไทยเข้าไปผสมผสานด้วยจึงเกิดเป็นรสชาติใหม่ๆ เช่น ทุเรียน ไข่แดง หรือที่เราเห็นกันบ่อยๆก็จะมีเปี๊ยะไข่เค็มลาวา เปี๊ยะสายรุ้ง เปี๊ยะไส้ถั่วกวน วันนี้เรามีวิธีทำขนมเปี๊ยะง่ายๆสำหรับใครที่อยากทำไปเป็นของฝาก หรือทำขายก็ได้เลยค่ะ

ขนมเปี๊ยะใหญ่ไส้ฟัก สูตรแป้ง ขนมเปี๊ยะ บางนุ่ม ละลายในปาก สูตรนี้ทำได้ 10 ชิ้นนะคะ

ส่วนผสมไส้ขนมเปี๊ยะ

ฟักเชื่อมแบบแห้ง 1 กิโลกรัม

หอมแดงเจียว 100 กรัม

งาขาวคั่วบุบ 100 กรัม

มันหมูแข็งต้มสุก 200 กรัม

น้ำตาลทราย 100 กรัม

ต้นหอมซอย50 กรัม

เกลือป่น 2 ช้อนชา

แป้งขนมโก๋ 200 กรัม

น้ำเปล่า 1 ถ้วยตวง

ส่วนผสมแป้งชั้นนอก

แป้งบัวแดง 500 กรัม

น้ำมันพืช 175กรัม

น้ำเปล่า 125 กรัม

น้ำตาลทราย 125 กรัม

ไข่แดง 1 ฟอง

แบะแซ 20 กรัม

ส่วนผสมแป้งชั้นใน

แป้งบัวแดง 300 กรัม

น้ำมันพืช 125 กรัม

ส่วนผสมสำหรับปั๊มลายเปี๊ยะ

ตัวปั๊มลายขนมเปี๊ยะขนาด 10 เซนติเมตร

สีผสมอาหารสีแดง

ไข่แดงสำหรับทาหน้าขนม

ไข่แดง 3 ฟอง

น้ำมันพืช 1 ช้อนชา

สีผสมอาหารสีเหลืองไข่ 1 หยด

เริ่มทำจากส่วนแป้งชั้นนอกก่อนนะคะ ร่อนแป้งใส่ชามผสม ใส่น้ำตาลลงไปคนให้เข้ากัน ทำหลุมตรงกลางแล้วใส่ไข่ไก่ น้ำเปล่า น้ำมันพืช และแบะแซ ใช้พายยางคนให้เข้ากัน เทแป้งลงบนโต๊ะที่โรยแป้งนวลเอาไว้ นวดแป้งจนเนียนไม่ติดมือและโต๊ะ ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีแล้วพักแป้งไว้

ทำแป้งชั้นใน ผสมแป้งกับน้ำมันพืชแล้วคนให้เข้ากันจนจับตัวเป็นก้อน ไม่ต้องนวด พักไว้ 30 นาที

ระหว่างรอมาทำตัวไส้ขนมกันค่ะ ผสมทุกอย่างเข้าด้วยกันยกเว้นน้ำเปล่า คลุกเคล้าให้เข้ากัน ค่อยๆพรมน้ำลงไปทีละนิด คนต่อเนื่องให้เข้ากันดีจนสามารถปั้นเป็นก้อนได้ ปั้นไส้ขนมเป็นก้อนกลม ใส่ไข่แดงเค็มตรงกลาง

อัตราส่วนสำหรับขนมเปี๊ยะ 1 ก้อนใช้แป้งชั้นนอกก้อนละ 100 กรัมแป้งชั้นใน 40 กรัมไส้ขนม 200 กรัม

เมื่อแป้งได้ที่แล้วนำแป้งชั้นนอกมาแผ่ออก หุ้มแป้งชั้นในแล้วปั้นเป็นก้อนกลม จากนั้นคลึงแป้งบนและล่างพับเป็น 3 ทบ แล้วคลึงอีกครั้งหนึ่ง พักแป้งไว้ 10 นาที คลุมด้วยผ้าขาวบางชุบน้ำป้องกันแป้งแห้ง

เมื่อครบเวลาแล้วเรามารวมร่างขนมเปี๊ยะกันเลยค่ะ คลึงแป้งออกทั้งบนล่าง ซ้ายขวา ใส่ไส้ไว้ตรงกลาง หุ้มแป้งปิดไส้ให้มิด ใช้กระดาษตัดเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมปิดลงไปที่ก้นขนม แล้วกดให้แบน พลิกหน้าขนมขึ้นนำตัวปั๊มมาชุบสีผสมอาหารสีแดงแล้วกดลงไปบนหน้าขนม รอให้สีแดงแห้ง จากนั้นนำขนมมาวางบนถาดอบที่รองด้วยกระดาษไข โดยคว่ำหน้าของขนมลง อบไฟบนล่าง 200 องศาประมาณ 20-25 นาที เมื่อครบแล้วให้นำขนมออกมา พลิกหน้าขนมขึ้นทาไข่แดงลงไปให้ทั่ว นำไปอบต่อ 10-15 นาที หากใครชอบกลิ่นหอมๆให้นำขนมไปอบควันเทียนทิ้งไว้ 1 คืน เท่านี้ก็เรียบร้อยค่ะ

สูตรเปี๊ยะไส้ถั่วไข่เค็ม ตัวแป้งจะใช้สูตรเดียวกับเปี๊ยะไส้ฟักนะคะ จะได้สูตรแป้งนุ่ม ผสมกับความหวานเค็มของถั่วและไข่เค็ม

ส่วนผสมไส้ถั่วไข่เค็ม

ถั่วเขียวเราะเปลือก 300 กรัม

น้ำตาลทราย 320 กรัม

น้ำมันพืช 50 กรัม

ไข่เค็มต้มสุก

แช่ถั่วเขียวในน้ำทิ้งไว้ 1 คืนหรืออย่างน้อย 2 ชั่วโมงจนถั่วพองตัว จากนั้นนำไปต้มจนนิ่ม แล้วปั่นจนเนียนละเอียด เทถั่วปั่นลงในกระทะทองเหลือง ใส่น้ำตาลทรายลงไป ตั้งไฟอ่อนกวนไปเรื่อยๆจนส่วนผสมข้นขึ้น ใส่น้ำมันพืชแล้วกวนต่อจนถั่วข้นและแห้งจับตัวเป็นก้อน พักไว้ให้เย็น นำไส้ถั่วมาปั้นเป็นก้อนแล้วแผ่ออกเพื่อวางไข่เค็มตรงกลาง จากนั้นปั้นเป็นก้อนกลมๆเตรียมไว้

วิธีการห่อแป้งใช้วิธีเดียวกับสูตรเปี๊ยะไส้ฟัก เพียงแต่ปั้นเป็นลูกเล็ก และไม่ต้องกดขนมจนแบน สูตรนี้เราจะได้ขนมเป็นลูกกลมๆเล็กๆ อบขนมที่อุณหภูมิ 180 องศาประมาณ 20-25 นาที หรือจนขนมสุก สูตรนี้เราจะอบเพียงครั้งเดียว เพราะฉะนั้นให้ทาหน้าขนมด้วยไข่แดงก่อนเข้าเตาอบได้เลย

เกร็ดความรู้ขนมเปี๊ยะ

ขนมเปี๊ยะที่เราเห็นในท้องตลาดมีหลากหลายมาก ทั้งเปี๊ยะไข่เค็ม เปี๊ยะสายรุ้ง เปี๊ยะไข่เค็มลาวาแป้งเหนียวนุ่ม ไส้เยิ้ม จากเมื่อก่อนเป็นขนมที่หากินได้ตอนช่วงเทศกาล แต่ปัจจุบันนิยมกินกันมากขึ้น เลยหาซื้อง่าย และราคาไม่แพงเลยค่ะ

Categories
ขนมไทย

เมนูสร้างอาชีพ ขนมครกโบราณ กรอบนอกนุ่มใน เอาใจสายหวาน

ว่ากันว่า ขนมครกโบราณ เป็นเมนูของหวานชาววัง ทำจากแป้ง น้ำตาล และกะทิ มีถาดหลุมสำหรับทำขนมโดยเฉพาะ สมัยก่อนขนมครกใช้ข้าวเจ้าโม่รวมกับหางกะทิ ข้าวสวย และมะพร้าวขูด ส่วนหน้าของขนมคือหัวกะทิเข้มข้น มาดูสูตรขนมครกง่ายๆ ทำกินได้ในครอบครัวหรือจะทำขายก็สามารถสร้างอาชีพได้เลย

ขนมครกมีหลากหลายรูปแบบ เพราะสามารถดัดแปลงได้มากมาย เรามาดูสูตรขนมครกโบราณกันก่อนเลยค่ะ วิธีทำขนมครกโบราณแป้งกรอบ สูตรนี้จะใส่ข้าวสุกไปในตัวแป้ง เพื่อให้ได้แป้งกรอบนอกนุ่มใน

มาดูส่วนผสมและวิธีทำ ขนมครกโบราณ กันเลย

ส่วนผสมแป้งขนมครก

แป้งข้าวเจ้า 1 1/4 ถ้วยตวง

ข้าวสุก 1/3 ถ้วยตวง

น้ำตาลทราย 1/8 ถ้วยตวง

เกลือสมุทร 1 ช้อนชา

น้ำปูนใส 1/4 ถ้วยตวง

หัวกะทิ 1 ถ้วยตวง

หางกะทิ 1/2 ถ้วยตวง

ส่วนผสมหน้ากะทิ

หัวกะทิ 3/4 ถ้วยตวง

น้ำตาลทราย 1/8 ถ้วยตวง

เกลือสมุทร 1/4 ช้อนชา

แป้งข้าวเจ้า 1/2 ช้อนโต๊ะ

ส่วนผสมหน้าขนมครก

ต้นหอม, ข้าวโพด, เผือก

ผสมแป้งขนมครกโดยการปั่นทุกอย่างรวมกันในเครื่องปั่นจนละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน เทใส่ชามพักทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที

ระหว่างพักตัวแป้งมาทำหน้ากะทิรอได้เลยค่ะ ผสมหัวกะทิ น้ำตาลทราย และเกลือเข้าด้วยกัน คนจนน้ำตาลทรายละลาย ค่อยๆใส่แป้งข้าวเจ้าลงไป คนให้ละลายเข้ากันดีแล้วพักไว้

นำเบ้าขนมครกขึ้นตั้งไฟ ใช้ไฟกลางทาน้ำมันให้ทั่ว ตักตัวแป้งหยอดลงไปประมาณ 3/4 ของหลุม จากนั้นตักส่วนของหน้ากะทิหยอดลงไปให้เต็มเบ้า ปิดฝารอให้แป้งสุก เมื่อแป้งเริ่มสุกแล้วให้โรยหน้าลงไปตามชอบ พอขนมสุกใช้ช้อนแคะขนมออกจากเบ้าวางประกบกัน 2 อันเป็นอันเสร็จเรียบร้อยค่ะ

มาดูสูตรแบบไม่ใส่ข้าวสุกกันบ้าง สูตรนี้จะได้ขนมรสชาติหวานมัน หน้ากะทิเยิ้มๆ

ส่วนผสมแป้งขนมครก

แป้งข้าวเจ้า 200 กรัม

แป้งข้าวเหนียว 25 กรัม

หัวกะทิ 1 1/2 ถ้วยตวง

น้ำร้อนจัด 1 1/2 ถ้วยตวง

น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ

เกลือ 1 ช้อนชา

น้ำมันพืชสำหรับทาเบ้าขนมครก

ส่วนผสมหน้ากะทิ

หัวกะทิ 1 1/2 ถ้วยตวง

น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วยตวง

เกลือ 1 ช้อนชา

แป้งข้าวเจ้า 1 ช้อนโต๊ะ

ต้นหอมซอยข้าวโพดสำหรับโรยหน้า

ผสมแป้งข้าวเจ้า แป้งข้าวเหนียว น้ำตาล และเกลือเข้าด้วยกัน ค่อยๆเทหัวกะทิลงไปพร้อมกับคนส่วนผสมไปด้วย จากนั้นค่อยๆเทน้ำร้อนตามลงไป คนจนส่วนผสมขนมครกเข้ากันดีพักไว้

ผสมน้ำตาลทราย เกลือ และแป้งข้าวเจ้าลงในชามอีกใบ ค่อยๆเทหัวกะทิลงไปคนจนเข้ากันดีพักไว้

เริ่มหยอดขนมครกด้วยการทาน้ำมันพืชให้ทั่วเตา ใช้ไฟกลาง ค่อยๆหยอดแป้งลงไป 3/4 ของหลุม จากนั้นหยอดหน้ากะทิตามลงไป ปิดฝาเพื่อให้ขนมสุก พอขนมใกล้สุกให้โรยต้นหอมและข้าวโพดลงไป ขนมที่สุกแล้วสังเกตง่ายๆเลยคือขอบจะเป็นสีน้ำตาล

ชอบสูตรไหนลองปรับใช้กันได้เลยขนมครกโบราณ

สูตรทำขนมครกขายนั้นมีมากมายแทบจะไม่ซ้ำกันเลย สมัยนี้ขนมครกได้ดัดแปลงให้มีไส้ต่างๆเพื่อดึงดูดลูกค้า ทั้งขนมครกไส้ทะลัก ขนมครกไส้แตก ขนมครกยกถาด ที่มีขนาดใหญ่พอๆกับพิซซ่าเลย เสิร์ฟมาหมดทั้งเตา โดยวิธีทำขนมครกยกถาดก็จะเหมือนกับขนมครกทั่วไป เพียงแต่ราดตัวแป้งให้ทั่วทั้งถาดเพื่อให้แป้งเกาะกัน เวลาแคะออกก็แคะยกถาด ส่วนเรื่องไส้ไม่ต้องพูดถึงเพราะเขาจัดเต็มมากๆ แทบจะมองไม่เห็นตัวแป้งกันเลยทีเดียว เรียกได้ว่าเป็นขนมไทยประยุกต์ที่น่ากินมากๆเลย

Categories
เค้ก

ชวนทำเมนูของหวานสุดอร่อย เค้ก ฝอยทอง วิปปิ้งครีมแบบเน้น ๆ

เค้ก ฝอยทอง เป็นเมนูเบเกอรีที่ผสานทั้งความเป็นไทยและต่างชาติได้อย่าลงตัว รสชาติหอมหวานของวิปปิ้งครีมตัดกับความมันของฝอยทอง ช่างเป็นรสชาติที่กลมกล่อมทีเดียว นอกจากนี้ใครที่กำลังมองหา เค้กวันเกิดให้เพื่อน แฟน หรือคนในครอบครัวแล้วล่ะก็ เค้กนี้เหมาะเป็นอย่างยิ่ง เป็นรสชาติที่ทำให้รู้สึกถึงความเป็นไทยอย่างมาก

พามาดูขั้นตอนการทำ เค้ก ฝอยทอง ทำทานง่าย ทำขายคล่อง

เค้ก ฝอยทอง เป็นขนมที่มีขั้นตอนการทำค่อนข้างเยอะ แต่สูตรของเรานั้นเป็น เค้กฝอยทองครีมสด ที่เหมาะจะทำเป็น เค้กฝอยทองวันเกิด เป็นอย่างยิ่ง

ส่วนผสม 1

1. แป้งเค้ก 100 g

2. ผงฟู 2 ช้อนชา

3. น้ำตาลไอซิ่ง 50 g

4. นมผง 20 g

5. เกลือ 1/2 ช้อนชา

6. นมข้นจืด 100 ml

7. น้ำมันพืช 80 ml

8. ไข่แดง 5 ฟอง ( เบอร์ 0 ) .

ส่วนผสม 2

1. ไข่ขาว 5 ฟอง ( เบอร์ 0 )

2. น้ำตาลไอซิ่ง 70 g

3. ครีมออฟทาร์ทาร์ 1 ช้อนชา

ส่วนผสม 3 สำหรับการตกแต่ง

1. วิปปิ้งครีม 1 กล่อง (รสหวานพอดี)

2. ฝอยทอง 500 g

ขั้นตอนการทำ

1. เตรียมชามผสม ใส่นมผง น้ำตาลไอซิ่ง แป้งเค้ก เกลือ ผงฟู คนส่วนผสมให้เข้ากัน

2. เตรียมชามผสมใส่ไข่แดงตีให้แตก เติมนมข้นจืด น้ำมันพืช ตีให้เข้ากัน

3. นำแป้งที่ร่อนมาใส่ลงไปในชามผสม คนให้เข้ากันดี พักไว้

4. เตรียมชามผสมที่สะอาด ใส่ไข่ขาว ใช้ตะกร้อตีไข่ขาวให้เป็นฟอง

5. ใส่ครีมออฟทาร์ทาร์

6. ใส่น้ำตาลไอซิ่งลงไป ทีละน้อย

7. ตีจนไข่ขาวตั้งยอดได้ ใส่ในแป้งที่เราผสมไว้

8. เทส่วนผสมลงในพิมพ์ เคาะพิมพ์เพื่อไล่อากาศ

9. อบประมาณ 20-30 นาที

10. เทวิปปิ้งครีมเย็น ๆ แล้วตีให้ตั้งยอด แล้วนำไปพักไว้ในตู้เย็น

12. นำเค้กที่เย็นแล้วมาตัดขอบออก แล้วหั่นครึ่งเพื่อทาวิปครีม

13. ใส่ไส้ฝอยทางตรงกลาง โรยให้ทั่ว

14. ทาวิปครีมด้านบนเพื่อประกบลงไป แล้วตกแต่งรอบ ๆ ด้วยฝอยทองตามชอบ

คุณประโยชน์ที่หลายคนมองข้ามจาก “ฝอยทอง”

เค้กฝอยทองที่ให้เป็น เค้กวันเกิด นั้นไม่เพียงแต่เป็นของหวานที่รสชาติอร่อย แต่ยังแฝงไปด้วยคำอวยพรที่เป็นมงคลอย่างมาก เค้กฝอยทองสวย ๆ ที่เราเห็นตามร้านอาจเป็น เค้กฝอยทอง ราคา ค่อนข้างสูง เนื่องจากมีกรรมวิธีที่ซับซ้อนเล็กน้อย การลองทำเองถือว่าทำให้ของขวัญชิ้นนี้มีคุณค่ามากขึ้นไปอีก นอกจากนั้น “ฝอยทอง” ที่เป็นพระเอกของเค้กนี้ยังเต็มไปด้วยคุณประโยชน์ทางสารอาหาร เนื่องจากทำมาจากไข่แดง ที่ช่วยลดระดับคอเรสเตอรอลได้ดี ช่วยต้านอนุมูลอิสระที่ทำให้เซลล์แก่ไว และทำให้มีการสร้างเซลล์ที่สึกหรอได้อีกด้วย

Categories
ขนมไทย

เปิดประวัติ ขนม ดาราทอง ขนมไทยรูปสวยนามเพราะพริ้ง ขนมมงคล

ขนม ดาราทอง หรืออีกชื่อหนึ่งว่า ทองเอกกระจัง เป็นขนมที่มีส่วนผสมของ แป้งสาลี กะทิ น้ำตาล และไข่แดง ลักษณะเป็นทรงกลมแป้น มีรอยบากรอบ ๆ คล้ายผลฟักทองหรือมะยม ถูกวางอยู่ในจานแป้งเล็ก ๆ แล้วประดับด้วยเมล็ดแตงโมที่เอาไปกวาดน้ำตาลให้เป็นหนามแหลม ๆ คล้ายกระจัง และประดับยอดด้วยทองคำเปลวที่รับประทานได้

ส่วนผสมและวัตถุดิบ ขนม ดาราทอง ขนมมงคลของไทย รสชาติอร่อย ทำเองได้ที่บ้าน

ขนม ดาราทองถือเป็นขนมที่ไม่ได้วางขายกันให้เห็นทั่วไป อีกทั้ง ดาราทอง ราคา ค่อนข้างสูงหากซื้อตามร้าน ดังนั้นเราจะมาฝึกทำเอง ซึ่ง ดาราทอง รสชาติ จะออกหวานนำ หากใครไม่ชอบหวานมาก อาจปรับอัตราส่วนน้ำตาลลงได้

วัตถุดิบและส่วนผสม

ส่วนกลีบดอก

1. น้ำเชื่อม (น้ำเปล่า 50 มิลลิลิตร + น้ำตาล 1 ถ้วยตวง)

2. เมล็ดแตงโมดิบ   

ตัวฐานขนม

1. น้ำเปล่า 40 มิลลิลิตร 

2. ไข่แดง 1 ฟอง

3. แป้งอเนกประสงค์ 150 กรัม

ตัวขนมทองเอก

1. กะทิ 180 มิลลิลิตร

2. แป้งอเนกประสงค์ 250 กรัม

3. ไข่แดง 7 ฟอง

4. น้ำตาลทราย 150 กรัม

5. ทองคำเปลว 2 แผ่น

6. กลิ่นมะลิ

7. สีเหลือง

ขั้นตอนการทำ

1. ใช้มือจุ่มน้ำเชื่อม แล้วกวาดเมล็ดแตงโม สักระยะเมล็ดแตงโมจะมีลักษณะเป็นหนามน้ำตาล

2. ผสมไข่และน้ำเปล่า เทลงไปในแป้ง ค่อย ๆ นวดให้เข้ากัน

3. รีดแป้งเป็นแผ่น ๆ

4. ใช้ไม้จิ้มฟันจิ้มให้ทั่วแป้ง

5. ใช้พิมพ์วงกลมมากดขนม

6. พออบเสร็จเอาออกมาพักไว้

7. เทกะทิ น้ำตาล มาต้มพอเดือด พักไว้

8. เติมกลิ่นมะลิลงไป

9. กะทิเย็นสนิทแล้วใส่ไข่ไก่ สีเหลือง ลงไป

10. ใส่แป้งอเนกประสงค์ทีละนิด คนให้เข้ากัน

11. เอาส่วนผสมไปตั้งไฟอ่อน กวนไปเรื่อย ๆ จนแป้งร่อนไม่ติดกระทะ

12. เอาแป้งมานวดเพื่อให้เนื้อขนมเนียน

13. เอาเมล็ดแตงโมแตะน้ำเชื่อม มาติดที่แป้งที่เราอบ

14. นำทองเอกปั้นเป็นกลม ๆ แล้วบาก วางไว้บนฐานขนม แล้วทำจุกเล็ก ๆ บนหัวไว้ติดทอง

15. พร้อมเสิร์ฟ

ความสับสนที่มีต่อดาราทองและคุณค่าทางอาหารของขนมชนิดนี้

ขนมดาราทองในตอนแรกหลายคนสับสน ดาราทอง กับ มงกุฎเพชร หรือแม้กระทั่ง จ่ามงกุฎ ความจริงแล้วคือ ดาราทองและมงกุฎเพชรนั้นเป็นขนมอย่างเดียวกัน แต่ไม่ใช่อย่างเดียวกับขนมจ่ามงกุฎ ขนมจ่ามงกุฎนั้นมีลักษณะเป็นแป้งใสหรือสีอ่อนนุ่มเหนียวคล้ายกะลาแม โรยด้วยแป้งทอดตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ หรือที่ใช้ปัจจุบันนิยมใช้ถั่วคุดคั่วนั่นเอง นิยมนำไปมอบเป็นของขวัญในการเลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง ส่วนขนมไทยที่เราได้หัดลองทำกันวันนี้นั้นนอกจากมีรสชาติหวานหอมมัน รูปสวยวิจิตรแล้ว ยังมีคุณค่าทางอาหารมากมายนัก อาทิ เมล็ดแตงโมที่ช่วยเรื่องกระดูกและฟัน, มีโปรตีนสูงมาก , มีไขมันโอเมก้า 6 และกรดอะมิโนจำเป็นต่อร่างกายอีกหลากหลายชนิดที่ช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อมได้

Categories
เค้ก

เอาใจคุณหนู ๆกับสูตรเค้กวันเกิดลาย เค้ก สไปเดอร์แมน

เค้ก สไปเดอร์แมน นั้นเป็น เค้กวันเกิด ที่มีการตกแต่งโดยได้รับแรงบันดาลใจสำคัญมาจาก “สไปเดอร์แมน” ซูเปอร์ฮีโร่ขวัญใจทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ที่เรามักพบเห็นเขาทั้งบนจอหนังและ COMIC BOOK ของ MCU บอกได้เลยว่ากระแสของพี่แกมาแรงจริง ๆ ถ้าคุณกำลังตามหาไอเดียทำเค้กวันเกิดให้แฟนตัวยงของคุณสไปดี้ เราขอแนะนำสูตรนี้เลยค่ะ

เปิดสูตรพาทำแบบละเอียด เค้ก สไปเดอร์แมน ง่ายมาก แต่งสวย ไม่ต้องเป็นมืออาชีพก็ทำได้

เค้ก สไปเดอร์แมนที่เราจะมาทำกันวันนี้คุณสามารถทำเป็น เค้กสไปเดอร์แมนสีฟ้า ด้วยการปรับแต่งการ แต่งหน้าเค้กสไปเดอร์แมน ด้วยสีสันที่แตกต่างกันออกไปได้ตามความชอบเลย

ส่วนผสมและวัตถุดิบ

1. เนยสด 200g.

2. แป้งข้าวโพด 20g

3.น้ำตาล. 120g  

3. นมสด 120g.

4. กลิ่นวนิลา 2 tbs.

5. เกลือ. 1/2 tsp.

6. นมข้นหวาน. 120g.

7. ผงช็อกโกแลต 20g

8. สีผสมอาหารสีดำ, แดง, น้ำเงิน

ขั้นตอนการทำ

1. นำแป้งข้าวโพดกับนมสดไปต้มในหม้อ

2. ทำการปั่นเนยในอุณหภูมิห้องไปปั่นให้ฟู

3. ใส่น้ำตาลไอซิ่ง กลิ่นวนิลา เกลือ ลงไป นำใส่นมข้นหวาน คนให้เข้ากัน

4. ผสมสีแดง น้ำเงิน ขาว ลงในบัตเตอร์ครีม

5. ใส่ผงดาร์กช็อกโกแลตลงไปด้วย

6. นำเข็มมาวาดรูปตาและใยแมงมุมบนหน้าเค้ก

7. บีบบัตเตอร์ครีมตามที่เราวาดไว้

ไอเดียสุดแจ่มสำหรับเค้กวันเกิด ความครีเอทและคุณประโยชน์มาเต็ม

เค้ก สไปเดอร์แมนนอกจากจะเป็นเค้กสำหรับงานวันเกิดได้แล้ว เราอาจลองปรับเป็น คัพเค้กสไปเดอร์แมน ที่สามารถแบ่งกันทานได้ง่ายและสะดวกในงานเลี้ยงต่าง ๆ หรือใครจะทำเป็นกิจการเสริม เค้กสไปเดอร์แมน พร้อมส่ง แบบนั้นก็ทำได้เช่นเดียวกัน หากอยากให้เบเกอรี่ของเราเป็นอาหารเพื่อสุขภาพมากขึ้นหน่อย อาจจะลองปรับน้ำตาลที่ใช้เป็นสารให้ความหวานแทนน้ำตาลก็ได้ นอกจากนี้แป้งที่ใช้อาจเลือกเป็นแป้งคีโตแทน ก็จะช่วยให้ดีต่อสุขภาพมากขึ้น เป็นคาร์โบไฮเดรตที่ดีต่อร่างกายและให้พลังงานระหว่างวันได้อย่างดี นอกจากนี้ไขมันยังช่วยรักษาความอบอุ่นและสร้างความปลอดภัยในลักษณะทางกายภาพคอยป้องกันการสั่นสะเทือนของอวัยวะภายในได้อีกด้วย ใครที่ชอบทานเค้กเป็นของโปรดอย่าลืมใส่ใจในส่วนนี้และหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะได้ทานเค้กกันได้อย่างสบายใจค่ะ

Categories
ขนมไทย

ทำง่ายมาก ข้าวเหนียว แก้ว ของหวานถูกใจคุณหนู ๆ ผู้ใหญ่กินได้เด็กกินดี

ข้าวเหนียว แก้ว เป็นอีกหนึ่งเมนูขนมไทยที่ทำให้หลายคนคิดถึงอดีตตอนที่เป็นเด็ก ๆ เพราะขนมชนิดนี้ได้รับความนิยมมากในงานสงกรานต์ เนื่องจากเป็นเทศกาลที่มีหนุ่มสาวจำนวนมาก ซึ่งการทำข้าวเหนียวแก้วต้องอาศัยแรงคนที่สม่ำเสมอเพราะมันเหนียวมาก อีกทั้งยังเป็นความหมายถึงความสามัคคี แน่นแฟ้น เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่เดิมเป็นขนมที่ใช้ในงานแต่งงานของชาวมอญเพื่อเป็นความมงคลถึงความรักที่กลมเกลียวนั่นเอง แต่ปัจจุบันก็กลายเป็นขนมมงคลที่พบเห็นได้อย่างแพร่หลายของไทย

สูตรและขั้นตอนการทำ ข้าวเหนียว แก้ว ขนมไทยโบราณรสชาติหวานมัน

วัตถุดิบและส่วนผสมของข้าวเหนียว แก้ว มีดังนี้

1.ข้าวเหนียวใหม่ 500 กรัม ( แช่น้ำ 1 คืน )

2. กะทิ 500 กรัม

3. น้ำสะอาด 200 กรัม

4. น้ำตาลทราย 400 กรัม ( ส่วนที่ 1 ใส่ในน้ำกะทิ )

5. น้ำตาลทราย 200 กรัม ( ส่วนที่ 2 ใส่ตอนกวน )

6. เกลือ 5 กรัม

7. สีผสมอาหาร (สีแดง ) สีเขียว จากน้ำใบเตย  สีน้ำเงิน จากดอกอัญชัน

ขั้นตอนการทำ ข้าวเหนียวแก้วแดง ข้าวเหนียวแก้วใบเตย

1.นำซึ้งสำหรับนึ่งมารองด้วยผ้าขาวบาง

2. เทข้าวเหนียวที่แช่น้ำไว้หนึ่งคืนในซึ้ง เว้นหลุมไว้ตรงกลางเพื่อระบายอากาศ จากนั้นคลุมด้วยผ้าขาวบางแล้วนำไปนึ่ง

3. ใส่หัวกะทิลงชามผสม เติมเกลือ น้ำตาลทราย แล้วคนให้น้ำตาลละลายดี จากนั้นพักไว้

4. นำข้าวเหนียวที่นึ่งเสร็จมาใส่ในชามผสมที่มีกะทิที่ผสมไว้

5. คนให้พอเข้ากัน ปิดฝา พักไว้ 20 นาที

6. นำข้าวเหนียวมาตั้งไฟอ่อน กวนไปเรื่อย ๆ แล้วเติมน้ำตาลทรายเพื่อเพิ่มรสชาติ และยังช่วยให้ข้าวเหนียวเงาสวย (ใส่สีผสมในขั้นตอนนี้)

7. กวนข้าวเหนียวไปจนเริ่มแห้ง ระวังอย่ากวนแรงจะทำให้เม็ดข้าวหัก ไม่สวย และไม่ต้องให้แห้งมากไป เมื่อเย็นข้าวเหนียวจะแห้งลงอีก

8. จัดใส่พิมพ์ได้เลย

อร่อยได้ มีประโยชน์ด้วย ขนมไทยที่มาพร้อมสรรพคุณมากมาย

ข้าวเหนียว แก้วเป็นขนมที่มานาน ข้าวเหนียวแก้วโบราณ นิยมใช้สีสันจากธรรมชาติ เช่น สีเขียวจากใบเตย สีม่วงจากอัญชัน สีชมพูจากกุหลาบ ซึ่งต่างเป็นสมุนไพรให้ผลทางยา ใบเตยมีส่วนช่วยดับกระหายได้ดี ส่วนอัญชันเองก็มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ลดโอกาสการเป็นมะเร็ง แต่ใครที่กังวลว่าเวลาทำมากเกินไปแล้วจะเก็บรักษาอย่างไร วิธีเก็บข้าวเหนียวแก้ว ทำได้ไม่ยากเลย จุดสำคัญที่ทำให้ข้าวเหนียวเก็บรักษาได้นานคือการเติมน้ำตาลปริมาณมากระหว่างที่กวนเพราะน้ำตาลจะช่วยยืดอายุของข้าวเหนียวให้ยาวนานมากขึ้น อีกทั้งการเก็บในอุณหภูมิที่เย็นและแห้งก็ช่วยป้องกันมดและแมลงได้เช่นกัน แต่ไม่ควรเก็บในที่ชื้นเพราะจะทำให้ข้าวเหนียวแฉะและเสียรสชาติได้

Categories
ขนมไทย

3 สูตร ตะโก้ ขนมไทยรสชาติหอมหวาน ทำง่าย ขายคล่อง

อีกหนึ่งเมนูสร้างอาชีพที่ทำง่ายมากๆนั่นก็คือ ตะโก้ เป็นขนมไทยโบราณที่มีสีสันสวยงามน่ารับประทาน อัดแน่นไปด้วยกะทิ รสชาติหวานมันตัดเค็มนิดๆ แถมด้วยไส้ต่างๆที่รองอยู่ด้านล่างของขนม วิธีทำตะโก้ง่ายมากๆมีเพียง 3 ขั้นตอนเท่านั้น วันนี้เรามีสูตรตะโก้หลายหน้า หลายรสชาติมาฝากกันค่ะ หากพร้อมแล้วมาดูวัตถุดิบและเตรียมเข้าครัวกันเลย

หากใครไปเที่ยวหัวหินคงคุ้นหน้าคุ้นตากับตะโก้เสวยร้านเบญจพงศ์ ที่ครั้งหนึ่งเคยนำตะโก้ขึ้นโต๊ะเสวยของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินไปประทับที่วังไกลกังวล เราเลยหยิบสูตรตะโก้เผือกวังไกลกังวลมาฝากกันค่ะ เป็นสูตรตะโก้ชาววังที่สืบทอดต่อๆกันมา รสชาติหวานมัน หอมกลิ่นกะทิและเผือก

มาดูส่วนผสมและวิธีทำกัน ตะโก้ เลยค่ะ

ส่วนผสมตัวตะโก้

แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วยตวง

แป้งมัน 1/4 ถ้วยตวง

เผือกหั่นเต๋าเล็กๆ 1 ถ้วยตวง

น้ำเปล่า 4 ถ้วยตวง

น้ำตาลทราย 150 กรัม

เกลือป่นปลายช้อนชา

ส่วนผสมหน้าตะโก้

หัวกะทิ 1 ถ้วยตวง

หางกะทิหรือน้ำเปล่า 1 ถ้วยตวง

เกลือป่น 1 ช้อนชา

น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา

แป้งข้าวเจ้า 1/2 ถ้วยตวง

แป้งมัน 1 ช้อนโต๊ะ

นำเผือกหั่นเต๋าไปนึ่งให้สุก ผสมส่วนของตัวตะโก้ให้เข้ากันแล้วใส่เผือกลงไปขยี้ให้ละเอียดเล็กน้อย นำไปกวนบนไฟอ่อนถึงปานกลางจนข้นขึ้น จากนั้นตักหยอดใส่ในกระทงที่เตรียมไว้

ผสมส่วนของหน้ากะทิให้เข้ากันแล้วนำไปตั้งบนไฟอ่อน กวนจนข้นสุกแล้วตักราดลงบนตัวตะโก้ ตกแต่งหน้าด้วยเผือกชิ้นเล็กๆเป็นอันเสร็จเรียบร้อย

ตะโก้ไม่ได้มีเพียงแค่ไส้เผือกเท่านั้นนะคะ ยังมีไส้อื่นๆอีกมากมาย ทั้งแห้ว สาคูมะพร้าวอ่อน ทับทิมกรอบ อีกไส้หนึ่งที่เป็นที่นิยมก็คือไส้ข้าวโพด ความหวานหอมที่ได้จากตัวตะโก้บวกกับความหวานจากข้าวโพดสีเหลืองนวลนั้นเข้ากันสุดๆไปเลยค่ะ

วิธีทำตะโก้ข้าวโพดโบราณคล้ายกับการทำตะโก้ไส้อื่นๆ เพียงแต่เปลี่ยนตัวไส้เป็นข้าวโพดแทน และที่บอกว่าเป็นสูตรโบราณเพราะว่าตัวกะทิจะเหนียวข้น กลมกล่อมเป็นพิเศษ เรามาดูวัตถุดิบและวิธีทำกันเลยดีกว่าค่ะ

ส่วนผสมตัวตะโก้

ข้าวโพดต้มสุก 1 ถ้วยตวง

น้ำเปล่า 500 มิลลิลิตร

น้ำตาลทราย 150 กรัม

แป้งมัน 70 กรัม

เกลือ 1/2 ช้อนชา

ส่วนผสมหน้าตะโก้

กะทิ 500 มิลลิลิตร

เกลือ 1/2 ช้อนชา

น้ำตาลทราย 50 กรัม

แป้งมัน 70 กรัม

ใบเตย 1 ใบ

นำส่วนผสมทั้งหมดของตัวตะโก้ใส่หม้อตั้งไฟปานกลาง กวนจนแป้งสุกและหนืดขึ้นเล็กน้อย จากนั้นตักส่วนผสมที่ได้ใส่กระทงใบตองหรือกระทงใบเตยที่เตรียมไว้ พักไว้ในอุณหภูมิห้องจนเซตตัว

ระหว่างรอมาเตรียมส่วนของกะทิกันเลยค่ะ นำหม้อขึ้นตั้งไฟปานกลาง ใส่กะทิ น้ำตาลทราย เกลือ แป้งมัน และใบเตย คนให้เข้ากันจนแป้งสุกและหนืดขึ้น ตักส่วนผสมของกะทิใส่ในกระทงที่มีส่วนของตัวตะโก้อยู่ พักไว้ให้เซตตัว แต่งหน้าขนมด้วยข้าวโพดต้มสุก พร้อมเสิร์ฟได้เลยค่ะ ด้วยความหวานมันจากกะทิและน้ำตาลทราย หลายคนคงกลัวว่ากินขนมตะโก้แล้วจะอ้วนไหม แต่ว่าตะโก้แคลอรี่ค่อนข้างต่ำเพียงถ้วยละ 30 แคลอรี่เท่านั้นเอง

เรามาดูสูตรตะโก้ทำขายตามตลาดกันบ้างค่ะ

สมัยนี้ขนมที่เครื่องล้นๆ ไส้ทะลักกำลังมาแรง ตะโก้ก็ไม่ยอมน้อยหน้า ได้พัฒนาตัวเองมาเป็นตะโก้สาคู ที่เหมือนได้กินทั้งสาคูเปียกและตะโก้ในชิ้นเดียว ตะโก้หน้าแฟนตาซี ที่จับเอาขนมหวานต่างๆมาโรยหน้า ให้ลูกค้าได้มีตัวเลือกหลายๆอย่าง แต่ไส้ที่ขายดีมากๆและมีแทบจะทุกตลาดเลยคือตะโก้สาคูมะพร้าวอ่อน ไปดูสูตรกันเลยค่ะ

ส่วนผสมตัวตะโก้

สาคูเม็ดเล็ก 150 กรัม

น้ำใบเตย 500 มิลลิลิตร

น้ำตาลทราย 120 กรัม

มะพร้าวอ่อนเชื่อม 100 กรัม

ข้าวโพดต้มสุก 100 กรัม

ส่วนผสมหน้าตะโก้

กะทิ 350 มิลลิลิตร

แป้งข้าวเจ้า 30 กรัม

แป้งถั่วเขียว 1 ช้อนโต๊ะ

เกลือ 1 ช้อนชา

ใบเตย 1 ใบ

ล้างสาคูพักไว้จนสะเด็ดน้ำ ตั้งหม้อต้มน้ำใบเตยจนเดือดแล้วใส่สาคูลงไป หมั่นคนให้สาคูไม่จับกันเป็นก้อน จากนั้นใส่ข้าวโพด มะพร้าวอ่อนเชื่อม และน้ำตาลทราย คนให้เข้ากันจนสาคูสุกเป็นเม็ดใส ตักใส่กระทงแล้วพักไว้ให้เซตตัว

ระหว่างรอมาเตรียมส่วนของกะทิกันเลยค่ะ เริ่มจากตั้งกระทะโดยใช้ไฟอ่อน เทกะทิลงไปตามด้วยแป้ง เกลือ กวนให้เข้ากันเป็นเนื้อเนียน ปิดไฟแล้วยกลงจากเตา นำไปหยอดด้านบนตัวตะโก้รอให้เซตตัวอีกครั้ง แต่งหน้าด้วยข้าวโพดหรือมะพร้าวอ่อนจะทำให้ดูน่ากินยิ่งขึ้น

จะเห็นได้ว่าตะโก้เป็นขนมที่ทำง่ายมากๆ ส่วนผสมก็ไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องนำไปอบหรือนึ่ง เหมาะสำหรับทำขายเพราะใช้เวลาในการเตรียมไม่นาน แถมยังเป็นขนมไทยโบราณที่คนปัจจุบันยังนิยมทานกันอยู่ หวังว่าสูตรตะโก้นี้จะเป็นประโยชน์ในการสร้างอาชีพของใครหลายๆคนนะคะ

Categories
ขนมไทย

เปิดประวัติ ขนม ผกากรอง ของหวานนามเพราะ รสชาติอร่อยถูกปาก

ขนม ผกากรอง เป็น ขนมไทย ที่มาจากความคิดสร้างสรรค์ของคนไทย ที่ต้องการพัฒนาสูตรขนมไทยจากขนมที่มีชื่อว่า “ช่อแก้ว” ให้มีความอร่อยถูกปากและรูปสวยมากขึ้น จนได้ตั้งชื่อใหม่ว่า “ผกากรอง” เนื่องมาจากรูปร่างที่เป็นกลีบบาง สีสันสวยสดงดงามของขนม ซึ่งละม้ายกับดอกผกากรองนั่นเอง ซึ่งขนมชนิดนี้ก็ทำตามได้ไม่ยากเลย อยากจะมาชวนให้ทุกคนทำไปพร้อมกัน

เปิดสูตร ขนม ผกากรอง ความอร่อยลงตัว ที่คู่ควรแก่การอนุรักษ์ไว้เพื่อชาวไทย

ขนม ผกากรองที่เราจะทำกันในวันนี้เป็น ผกากรองไส้เผือก ซึ่ง ช่อผกากรองรสชาติ จะออกไปทางหวานมัน ไม่ได้รสชาติจัดจ้านเกินไป เนื่องจากเป็นขนมทานเล่น สามารถทานได้ต่อเนื่องหลายคำ และนี่คือสูตรของการทำ

วัตถุดิบและส่วนผสม

1. แป้งเค้ก 2 ถ้วยตวง

2. น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วยตวง

3. หัวกะทิ 500 มิลลิลิตร

4. น้ำเปล่า 1/4 ถ้วยตวง

5. กลิ่นมะลิ 1/4 ช้อนชา

6. สีผสมอาหารตามชอบ

7. แหนบจีบช่อม่วงหัวใบไม้

8. ถ้วยวุ้น

9. เผือก

ขั้นตอนการทำ

1. เทแป้งเค้กลงชามผสม ใส่หัวกะทิลงไป ตามด้วยน้ำตาลทราย น้ำกลิ่นมะลิ จากนั้นคนให้เข้ากัน

2. เทส่วนผสมลงกระทะแล้วเปิดไปอ่อนในการกวนแป้งให้สุก ห้ามใส่ไฟแรงจะทำให้แป้งไหม้ก่อนสุก

3. เมื่อแป้งได้ที่แล้ว เอาลงได้เลย

4. เมื่อแป้งอุ่นแล้ว ให้นำมานวดให้เนียน แล้วพักให้เย็นสนิท

5. ใช้สีผสมอาหารตามชอบมาผสมในแป้ง

6. นำแป้งไปเตรียมห่อ โดยการคลึงให้เป็นลูกกลม

ขั้นตอนการทำไส้เผือกกวน

1. ตั้งซึ้งให้น้ำเดือด จากนั้นนำเผือกที่หั่นแล้วไปนึ่ง 20 นาที

2. เมื่อเผือกสุก นำมายีให้ได้เผือกซุย ๆ

3. ตั้งกระทะ ใช้ไฟอ่อน ใส่กะทิลงไป

4. เติมน้ำตาลทราย เกลือป่น คนให้เข้ากัน

5. ใส่เผือกลงไป กวนเรื่อย ๆ จนได้ที่ ไม่ต้องให้แห้งเกินไป เท่านี้ก็ใช้ได้แล้ว

ขั้นตอนการขึ้นรูป

1. นำแป้งมากดให้บาง ใส่ไส้ ปิดให้มิดแล้วคลึงให้กลม

2. ใส่ในถ้วยวุ้น 3. ใช้ไม้หนีบจับจีบเป็นดอกไม้

คุณประโยชน์มหาศาลจากภูมิปัญญาของขนมไทย

ขนม ผกากรองนั้นเป็นขนมที่สวยรูปรวยรสอย่างแท้จริง ดั่ง ช่อผกากรองคือ ดอกไม้ที่สวยงามและมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ในธรรมชาติ นอกจากนั้นแล้ว เทคนิคที่เรานำเสนอไป ด้วยการใช้ พิมพ์ผกากรอง มาช่วยในการจับจีบจะทำให้ขนมไม่ช้ำ ออกมาสวยงามน่าทานมากขึ้น แต่นอกจากน่าทานแล้ว ขนมไทยชนิดนี้ยังมีประโยชน์มากมายอย่างคาดไม่ถึง ทั้งคุณค่าจากคาร์โบไฮเดรตที่ให้พลังงานต่อร่างกาย คุณประโยชน์จากมะพร้าวที่ช่วยลดการอักเสบภายในร่างกาย มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ รวมถึงการช่วยสร้างฮอร์โมนโปรเอสโตรเจนที่ช่วยเรื่องผิวกระชับอีกด้วย