Categories
หน้าแรก

ขนมโตเกียว ขนมที่ทุกคนรักสุดหัวใจ

หลาย ๆ คนคงนึกถึงของกินหน้าโรงเรียนตอนประถมและมัธยม เพราะเป็นช่วงเวลาที่ตอนนั้นอะไร ๆ ก็อร่อย และของกินทุกร้านหน้าโรงเรียนนั้นอร่อยไปเสียทุกอย่าง โดยเฉพาะอะไรที่เป็นขนม วันนี้เลยจะพาทุกคนไปหวนลำลึกถึง ขนมโตเกียว ที่ไม่ได้มาจากญี่ปุ่น แต่อร่อยถูกปากคนไทยจนเหลือเชื่อ และขอบอกเลยว่าวิธีการทำนั้นก็แสนจะง่าย ไม่มีอะไรยากซับซ้อน เหมาะสำหรับมือใหม่ที่กำลังหัดทำขนมมาก ๆ เลยด้วย ถ้าพร้อมแล้วก็ตามมาเลย

ขนมโตเกียว ทำง่ายแต่อร่อยมาก

ในวันนี้เราก็จะมาแจกสูตรแป้งโตเกียว เป็นสูตรแป้งโตเกียวไม่ใส่ผงฟูแต่ยังได้เป็นโตเกียวแป้งทอดกรอบอยู่เช่นเคย โดยวัตถุดิบหลักจะมี

1.แป้งอเนกประสงค์

2.แป้งข้าวเจ้า หรือ แป้งมันสำปะหลัง (เลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่ง)

3.ไข่ไก่

4.น้ำตาล

5.เกลือ

6.นมสด

7.น้ำปูนใส

9.กลิ่นวานิลลา (ใช้เพื่อเพิ่มกลิ่น หากไม่มีสามารถข้ามไปได้)

10.ผงฟู

(แต่หากใครที่ไม่เก่งในการทำอาหารเลยจริง ๆ ก็สามารถหาซื้อแป้งโตเกียวสำเร็จรูป แม็คโครมาทำได้เช่นกัน)

ต่อไปจะเป็นสูตรแป้งโตเกียวกรอบนอกนุ่มใน วิธีทำให้แป้งขนมโตเกียวอร่อยยิ่งขึ้น (หรือจะปรับเปลี่ยนเป็นแบบวิธีทำโตเกียว แป้งเค้กก็ได้ด้วยนะ)

1.นำไข่ไปตีกับน้ำตาลให้ละลาย จากนั้นนำแป้งที่ร่อนแล้ว ผงฟู และเกลือลงไปคนให้เป็นเนื้อเดียวกัน

2.ใส่น้ำปูนใสลงไปผสมแล้วคนให้เข้ากันอีกครั้ง

3.จากนั้นให้ใส่นมและตีแป้งอีกครั้ง (ขั้นตอนนี้สำหรับใครที่มีวานิลลาให้ใส่ได้เลย)

4.ตั้งไฟกระทะที่ปานกลาง จากนั้นทาเนยบาง ๆ จนทั่วกระทะ

5.เมื่อแป้งใกล้จะสุกเต็มที่ ให้ใส่ไส้ที่ต้องการได้เลย

ในด้านของไส้ขนมโตเกียว ส่วนใหญ่จะมีดังนี้

1.ไข่นกกระทา

2.ไส้กรอก

3.หมูสับ

4.ต้นหอม

5.ซอสปรุงรส

6.พริกเผา

7.ปูอัด

8.ซอสพิซซ่า

9.ชีส

แต่เชื่อว่าจะมีอีกหนึ่งไส้ที่เป็นขวัญใจของทุกคน นั่นก็คือ ไส้หวาน วันนี้เลยจะมาแนะนำสูตรวิธีทำโตเกียวไส้หวานกันด้วย

1.ไข่ไก่

2.น้ำตาล

3.เนย

4.นม

5.เกลือป่น

วิธีทำก็ง่ายมาก เพียงแค่ตีไข่ไก่ เกลือ และน้ำตาลให้เข้ากัน จากนั้นค่อย ๆ เทนมลงไปและคนเรื่อย ๆ จากนั้นให้ตั้งไฟอ่อน ค่อย ๆ คนจนทุกอย่างเริ่มหนืด ให้ใส่เนยลงไปจนเข้ากัน เท่านี้ก็จะได้แล้ว ส่วนใครอยากได้ไส้หวานแต่เป็นโตเกียวไส้สังขยา ก็ให้นำน้ำใบเตยมาผสม เท่านี้ก็จะได้ไส้หวานที่เป็นสีเขียวแล้ว

ขนมโตเกียว หลากไส้หลากความอร่อย

จบลงไปแล้วสำหรับการทำขนมโตเกียว นอกจากจะทำง่ายและอร่อยแล้ว ยังช่วยให้นึกถึงบรรยากาศตอนเด็ก ๆ ได้เป็นอย่างดีเลย และข้อดีของการทำที่บ้านคือไม่ต้องสนใจว่าไส้โตเกียวมีอะไรบ้าง เพราะเราสามารถใส่ทุกอย่างได้ตามใจชอบเลยนั่นเอง

Categories
ขนมไทย

ฮันนี่โทสต์ เมนูขวัญใจคนรักขนมหวาน

เชื่อว่าหลาย ๆ คนจะชอบทานขนมหวานกันเป็นประจำอยู่แล้ว โดยเฉพาะสาว ๆ วัยรุ่นย่อมไม่พลาดแน่ ๆ แต่จะให้ไปกินที่ร้านบ่อย ๆ ก็อาจจะเหนื่อยกับการเดินทาง หรือหากให้ทำเองก็คงไม่อร่อยเท่าที่ร้านแน่ ๆ แต่วันนี้จะมาแนะนำขนมหวานที่ทำเองได้ง่าย ๆ และไม่มีใครไม่ชอบกินนั่นก็คือ ฮันนี่โทสต์ ขนมปังปอนด์หวานมันพร้อมท็อปปิ้งผลไม้และไอติม ขอบอกเลยว่าทำกินเองที่บ้านฟินสุด ๆ

สูตรง่าย ๆ แบบไม่ลับของ ฮันนี่โทสต์

สำหรับสูตรเมนูฮันนี่โทส

จะใช้วัตถุดิบหลัก ๆ คือ

1.ขนมปังปอนด์แบบหนา ๆ เพื่อความจุใจในการกิน

2.เนยสดชนิดเค็ม

3.น้ำผึ้ง เพิ่มความหวานหอม

4.ไอศกรีม รสใดก็ได้ที่ชื่นชอบ

5.ผลไม้ ชนิดใดก็ได้ที่ชื่นชอบ

หรืออาจจะเพิ่มรสชาติอื่น ๆ ให้กับฮันนี่โทสต์เช่น ซอสช็อกโกแลต อัลมอนด์ น้ำตาลไอซิ่ง หรือจะเป็นขนมกรุบกรอบเวเฟอร์เพื่อเพิ่มรสสัมผัสก็ได้เช่นกัน สามารถออกแบบรสชาติได้ตามต้องการ หากใครชอบผลไม้จะทำเป็นฮันนี่โทสผลไม้รวมก็ได้ หรือหากใครชอบกินไอติมมาก ๆ จะออกแบบเป็นไอติมฮันนี่โทสต์ ก็ได้เช่นเดียวกัน แต่หลัก ๆ แล้วเราที่ไม่เปลี่ยนคือการหั่นขนมปังออกมาเป็นช่อง ๆ แล้วทาเนยลงไปจนทั่วขนมปัง แต่ขอย้ำอีกครั้งว่าควรหั่นขนมปังในขนาดที่ใหญ่เป็นพิเศษ

ซึ่งต่อไปจะเป็นในส่วนของฮันนี่โทสต์ วิธีทํา ก็จะง่ายมาก ๆ จึงอยากขอแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบคือ

1.ฮันนี่โทสต์แบบใช้เตาอบ

จะเปิดเตาวอร์มไว้ 10 นาที ใช้ไฟ 180 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 15 นาที (จากที่แนะนำไปว่าให้เอาเนยทาขนมปังให้ทั่วก็เพราะเมื่อนำไปอบในอุณหภูมิที่สูง จะทำให้ขนมปังกรอบนอกนุ่มในอยู่)

2.ฮันนี่โทส ไมโครเวฟ

สำหรับบ้านใครที่ไม่มีเตาอบ หรือเป็นมือใหม่อยากลองทำก็สามารถใช้ไมโครเวฟได้เช่นกัน โดยเราจะใช้อบอยู่ที่ 2 นาทีในความร้อนประมาณ 800 วัตต์ (หากเป็นไมโครเวฟรุ่นเก่าให้หมั่นเปิดออกมาเพื่อเช็คความแห้งของขนมปัง)

3.วิธีทําฮันนี่โทส กระทะ

ส่วนบ้านใครที่ไม่มีไมโครเวฟ หรืออยากลองใช้กระทะมากกว่าเพื่อความท้าทาย ก็ย่อมได้เช่นกัน ให้ใช้ไฟอ่อนรอจนเริ่มร้อนค่อยใส่เนยสดลงไปละลายให้ทั่วกระทะ จากนั้นนำขนมปังลงไปปิ้งให้เป็นสีน้ำตาลดูกรอบน่ากินทั้งสองด้าน

ทำฮันนี่โทสต์กินเองที่บ้านแบบฟิน ๆ

แค่นี้ทุกคนก็จะได้กินฮันนี่โทสต์ ทําเอง อร่อย ๆ แบบไม่ต้องง้อใครแล้ว ขอบอกเลยว่าทำง่ายมาก ๆ ไม่มีขั้นตอนอะไรที่ซับซ้อนเลย เหมาะกับคนที่อยากเริ่มทำอาหารหรือขนมด้วยตัวเองสุด ๆ หวังว่าบทความนี้จะเปลี่ยนให้ทุกคนที่ยังกินฮันนี่โทส สําเร็จรูปมาทดลองทำฮันนี่โทสต์กินเองที่บ้าน และออกแบบไอเดียเพื่อมาตกแต่งฮันนี่โทสสวยๆไปอวดเพื่อนกันให้อิจฉากันด้วย

Categories
ขนมไทย

ขนมดอกจอก ขนมไทยโบราณแสนอร่อย

ขนมไทยเป็นที่ยอมรับของคนไทยเองและของโลกว่าหน้าตาสวยงาม มีสีสันดูน่ารับประทาน และยังมีรสชาติที่อร่อยเป็นเอกลักษณ์มาก ๆ อีกด้วย แต่ในยุคปัจจุบันนี้ที่ใคร ๆ ก็พาไปกินเมนูขนมหวานจากต่างประเทศ ทำให้หลายๆ คนหลงลืมขนมไทยกันไป โดยฉพาะอย่างยิ่งคือขนมไทยโบราณ วันนี้เลยอยากจะมาแนะนำสูตร ขนมดอกจอก ขนมไทยโบราณที่ทำได้ง่ายๆ ที่บ้าน เหมาะอย่างยิ่งกับกิจกรรมครอบครัวเพื่อให้เด็กๆ ได้รู้จักขนมไทยเมนูนี้นั่นเอง

ขนมดอกจอก บางกรอบ หวานอร่อย

ในการทำขนมดอกจอก ขอบอกเลยว่านี่เป็นสูตรดอกจอกโบราณที่อร่อยสุด ๆ โดยส่วนผสมก็จะมีดังนี้

1.แป้งข้าวเจ้า

2.แป้งมัน

3.น้ำตาลทราย

4.เกลือ

5.น้ำปูนใส

6.หัวกะทิ

7.ไข่ไก่

8.สีผสมอาหาร (สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามที่ชื่นชอบได้เลย)

9.งาดำ หรือ งาขาว

ต่อไปจะเป็นขั้นตอนในการทำขนมดอกจอก

1.ผสมแป้งข้าวเจ้า แป้งมัน น้ำตาลทราย และเกลือป่นคนให้เข้ากัน

2.เมื่อเข้ากันแล้ว ให้ใส่น้ำปูนใส ไข่ไก่ และหัวกะทิ จากนั้นให้ตีให้เข้ากันใหม่อีกครั้ง

3.จากนั้นให้นำไปกรองเพื่อให้ได้แป้งที่เนื้อเนียน

4.แบ่งสัดส่วนแป้งไปผสมกับสีผสมอาหาร (หากต้องการสีธรรมชาติของแป้งสามารถข้ามขั้นตอนนี้ไปได้ หรือหากต้องการให้มีรสชาติของสีธรรมชาติ ก็สามารถใช้น้ำอัญชันให้กลายเป็นดอกจอกอัญชันได้ รวมไปถึงใบเตย หรือกระเจี๊ยบก็ด้วย)

5.จากนั้นให้ใส่งาดำหรืองาขาวเล็กน้อยเพื่อเพิ่มความหอมของขนมจอกโบราณ

6.ตั้งไฟ ใส่น้ำมันในกระทะในจำนวนมาก และรอให้น้ำมันเดือด (ขั้นตอนนี้จะต้องรอนิดหน่อย เป็นวิธีทำดอกจอกไม่อมน้ำมัน)

7.นำแม่พิมพ์ดอกจอกลงไปวอร์มในกระทะที่กำลังเริ่มร้อน

8.นำแม่พิมพ์กลับมาจุ่มที่แป้ง และนำไปลงในกระทะ (ขณะที่จุ่มแป้งรอให้แป้งบางส่วนไหลออกไปก่อน เพื่อให้ได้ดอกจอกบางกรอบ)

9.เปลี่ยนไฟให้อยู่ในระดับกลาง นำแม่พิมพ์ลงไปทอดทิ้งไว้เพียง 2-3 วินาทีเท่านั้น ก่อนจะค่อย ๆ เขย่าให้ตัวแป้งที่เซ็ตตัวหลุดออกจากแม่พิมพ์

10.กลับด้านให้ดอกจอกโบราณสุกทั้งสองด้าน แล้วค่อยนำขึ้นมาจัดทรงกับก้นถ้วยให้บานเป็นรูปดอกไม้

เท่านี้ก็จะได้รสชาติขนมดอกจอกที่หอม อร่อยถูกปาก และมีหน้าตาสวยงามมาก ๆ อย่างแน่นอน

ขนมดอกจอกมีประโยชน์กว่าที่คิด

ก็จบลงไปแล้วสำหรับการมาแนะนำสูตรขนมดอกจอก ขนมไทยโบราณที่หาไม่ได้แล้วในตอนนี้ นอกจากความอร่อยและสีสันหน้าตาสวยงามของขนมชนิดนี้แล้ว ขนมดอกจอกประโยชน์ของขนมยังมากกว่าขนมหวานเมนูอื่น ๆ อีกด้วย เพราะมีความพอดีของพลังงานที่ได้รับในแต่ละชิ้น เรียกได้ว่าใครอยากกินแต่ห่วงสุขภาพ เมนูนี้นับว่าตอบโจทย์เลย

Categories
ขนมไทย

อาลัว ขนมไทยไซส์น่ารัก

ในช่วงหลัง ๆ มานี้ขนมไทยเริ่มกลับมาเป็นกระแสมากขึ้น ไม่ใช่เพียงคนสูงอายุหรือวัยกลางคนเท่านั้นที่หันกลับมาสนใจขนมไทย แต่เป็นวัยรุ่นเสียส่วนใหญ่ แต่ขนมไทยก็ต้องยอมรับว่าทำยากมาก ให้ซื้อกินยังง่ายกว่า แต่ก็จะพบกับปัญหาอีกสิ่งหนึ่งคือร้านขนมไทยค่อนข้างน้อยแล้ว วันนี้เลยจะพาทุกคนไปทดลองทำขนมหวานไทยง่าย ๆ อย่าง อาลัว ขนมไทยไซส์เล็กสีสันสดใส ไม่ว่าใครก็ชอบกิน ถ้าอยากรู้ว่าเป็นอย่างไรก็ตามมากันได้เลย

ทำอาลัวอยู่บ้านแบบชิล ๆ

ส่วนผสมของอาลัวจะมี

1.แป้งสาลี

2.แป้งถั่วเขียว

(คำถามที่สำคัญมาก ๆ คืออาลัว ใช้แป้งอะไร จากหลาย ๆ สูตรขอบอกเลยว่าการใช้สองแป้งนี้รวมกันจะอร่อยมาก ๆ)

3.น้ำตาลทราย

4.เกลือ

5.กะทิ

6.กลิ่นมะลิ (เพื่อความหอม สามารถเปลี่ยนเป็นกลิ่นอื่นก็ได้ หรือจะไม่ใส่เลยก็ได้เช่นเดียวกัน)

7.สีผสมอาหาร (สามารถเลือกสีที่ต้องการได้เลย)

อาลัว วิธีทำจะมีขั้นตอนอยู่ 2 ขั้นตอนหลัก ๆ คือในส่วนของการทำแป้งและการอบ

1.การทำแป้งอาลัวนั้นจะเริ่มจาก นำแป้งสาลี แป้งถั่วเขียว น้ำตาลทราย เกลือ เทใส่กระทะและคนทุกอย่างให้ละลายรวมกันเป็นเนื้อเดียว

2.ใส่สีผสมอาหารและคนให้ละลายทั่ว (แนะนำว่าค่อย ๆ ใส่เพื่อระวังไม่ให้สีเข้มเกินความต้องการ)

3.จากนั้นเปิดเตาไปที่ไฟอ่อนสุด ค่อย ๆ กวนแป้งจนสุกและพักให้แป้งอุ่นลง (กวนจนแป้งดูมีสีใส)

ขั้นตอนต่อไปเป็นการอบขนมอาลัว มีหลายคนกังวลใจมากว่าอาลัว ใช้เตาอบแบบไหนความจริงแล้วสามารถใช้วิธีทำอาลัว เตาอบหรือจะทำอาลัว ไมโครเวฟก็ได้เช่นกัน เพียงแค่จะต้องคอยหมั่นเปิดดูขนมอย่างต่อเนื่อง ส่วนวิธีอบนั้นจะเป็น

1.หลังจากนำแป้งมาพักให้ยังอุ่นอยู่ จากนั้นนำใส่ถุงบีบและนำหัวบีบรูปดาวมาใช้ (หากใครอยากได้อาลัวดอกไม้หรือรูปแบบอื่นก็สามารถนำมาใช้ได้)

2.บีบแป้งบนกระดาษไขที่รองถาดอบไว้ให้ห่างมีช่องไฟพอดี ไม่ติดกันเกินไป

3.นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 60-100 องศาเซียลเซียสเป็นเวลา 30-1 ชั่วโมง ทำแบบนี้ทั้งหมด 4 รอบ หรือหากใครที่ไม่มีเตาอบอะไรเลย ก็สามารถใช้สูตรโบราณซึ่งเป็นวิธีทำอาลัว ไม่อบโดยการนำไปตากแดด 2-4 วัน นั่นเอง

อาลัว ขนมไทยทำง่ายเก็บได้นาน

ก็จบลงไปแล้วสำหรับอาลัว ขนมหวานไทยโบราณที่อร่อย กินได้เพลิน ๆ ไม่มีเบื่อ สำหรับสูตรอาลัวที่นำมาฝากทุกคนในวันนี้สามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยตัวเอง หากใครที่กำลังสงสัยว่าอาลัวสด เก็บได้กี่วัน สามารถเก็บไว้ไประมาณ 7 วันเลยทีเดียว เรียกได้ว่าทำแป้งครั้งเดียวแล้วค่อย ๆ แบ่งทำเป้นขนมได้ตลอด

Categories
ขนมไทย

ขนมพระพาย ขนมไทยโบราณสีน่ารัก

เชื่อว่าหลาย ๆ คนต้องมีขนมไทยในใจที่ชอบกันอยู่หลายเมนู ทั้งที่สามารถหาซื้อได้ง่ายในตอนนี้และหาซื้อไม่ได้อีกแล้ว แต่แน่นอนว่าด้วยความเป็นขนมหวานไทย ย่อมมีบางเมนูที่ไม่เป็นที่รู้จักในหมู่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขนมไทยโบราณที่ทุกวันนี้แทบไม่มีใครรู้จักเลย วันนี้จึงอยากจะมาแนะนำสูตรขนมไทยอย่าง ขนมพระพาย ขนมไทยโบราณที่มีสีสันสดใส เหมาะกับวัยรุ่น อร่อยทานง่ายและยังทำง่ายมาก ๆ อีกด้วย

ขนมพระพาย ทานง่าย ทำก็ง่าย

ในการทำขนมพระพายตามแบบฉบับของสูตรขนมไทยชาววังจะแบ่งออกเป็น 3 องค์ประกอบหลักนั่นก็คือแป้งห่อ ไส้ และกะทิราด ซึ่งจะมีวัตถุดิบหลัก ๆ ดังนี้

วัตถุดิบทำแป้งขนมพระพาย

1.แป้งข้าวเหนียว

2.แป้งข้าวเจ้า

3.กะทิ

4.น้ำอัญชัน

5.น้ำใบเตย

6.น้ำกระเจี๊ยบ

วัตถุดิบทำไส้

1.ถั่วเขียว

2.น้ำเปล่า

3.กะทิ

4.น้ำตาลทราย

วัตถุดิบทำกะทิราด

1.กะทิ

2.แป้งข้าวเจ้า

3.เกลือ

วิธีทำขนมพระพายจะเริ่มจากการทำแป้งและกะทิพร้อม ๆ กันไป

1.นำแป้งข้าวเหนียวและแป้งข้าวเจ้ามารวมกัน

2.นำกะทิแบ่งออกเป็น 3 ส่วนและเอาไปผสมกับน้ำอัญชัน น้ำใบเตย และน้ำกระเจี๊ยบ

3.จากนั้นแบ่งแป้งออกเป็น 3 ส่วนเช่นกัน และนำไปผสมกับกะทิที่มีสีทั้ง 3 ส่วน

4.นวดแป้งประมาณ 15 นาทีและพักไว้ ก็จะได้แป้งขนมพระพายหลากสี

5.นำกะทิส่วนที่เหลือเพื่อไว้ใช้ราด ไปผสมกับแป้งข้าวเจ้าและเกลือ

6.ตั้งไฟอ่อน ๆ คนกะทิจนเริ่มเหนียวขึ้นเล็กน้อย ค่อยนำไปพัก

วิธีทำไส้ตามแบบฉบับของขนมโบราณชาววัง

1.นำถั่วเขียวไปแช่น้ำร้อน 3 ชั่วโมงและแช่น้ำเปล่า 1 คืน

2.เอาถั่วไปล้างให้สะอาดและนำไปนึ่ง

3.เมื่อถั่วเขียวสุก นำไปปั่นหรือตำให้ละเอียดเป็นเนื้อเนียน

4.ตั้งไฟกระทะปานกลาง นำถั่วที่บดไว้ไปผัดกับน้ำตาล ก่อนจะนำมาปั้นเป็นก้อนกลม ๆ พอดีคำ

จากนั้นให้นำแป้งที่พักไว้ มาปั้นเป็นก้อนกลมและแบะแป้งให้แบน นำมาห่อหุ้มตัวถั่วเขียว จากนั้นวางบนแผ่นใบตอง และนำไปนึ่งประมาณ 10 นาที เท่านี้ก็จะได้ขนมพระพาย ขนมไทยหาทานยากที่เราสามารถทำทานเองที่บ้านแบบง่าย ๆ ไม่ต้องไปตามหาร้านให้ยุ่งยากแล้ว

ขนมพระพายขนมไทยที่อร่อยจนยากจะลืม

ก็จบลงไปแล้วสำหรับสำหรับการมาแจกสูตรขนมพระพายหวังว่าจะทำให้ทุกคนได้รู้จักกับขนมพระพายกันมากยิ่งขึ้น และก็สามารถนำสูตรนี้ไปทำขายได้ด้วยเช่นกัน โดยหากแนะนำแล้ว สามารถขายขนมพระพาย ราคาเซ็ตละประมาณ 40-50 บาทได้เลย ไม่ว่าใครก็จะมีกำลังซื้อและได้รู้จักกับขนมไทยโบราณนี้เพิ่มขึ้น

Categories
เค้ก

มูสช็อกโกแลต ขนมหวานสุดอร่อยทำได้ง่าย ๆ ที่บ้าน

กลับมาอีกครั้งกับบทความเอาใจสายหวาน เพราะเชื่อว่ามีหลายคนมาก ๆ ที่ชื่นชอบขนมหวานและอยากจะลองหัดทำ แต่ปัญหาที่พบคือการทำขนมนั้นแสนจะยาก และที่สำคัญยังใช้วัตถุดิบรวมไปถึงอุปกรณ์ที่เยอะแยะมากมาย จนต้องล้มเลิกความตั้งใจไปในที่สุด วันนี้เราเลยจะมาแนะนำเมนูอย่าง มูสช็อกโกแลต ขนมหวานทำง่าย ๆ ที่บ้าน ไม่ต้องง้ออุปกรณ์อะไรให้ยุ่งยาก ขอบอกเลยว่าถูกใจมือใหม่หัดทำขนมอย่างแน่นอน ถ้าอยากรู้ว่าเป็นยังไงก็ตามมาได้เลย

อร่อยเพลิน ๆ ไปกับ มูสช็อกโกแลต หวานนุ่มละมุนลิ้น

มูสช็อกโกแลตสูตรที่จะแนะนำในวันนี้มีวัตถุดิบหลัก ๆ คือ

1.ดาร์กช็อกโกแลต

2.ไข่แดง

3.ไข่ขาว

(ไข่ขาวและไข่แดงในปริมาณเท่ากัน แค่แยกทั้งสองออกจากกันเท่านั้น)

4.วานิลลาเข้มข้น (หรือสามารถเปลี่ยนไปใช้เป็นวานิลลาสดก็ได้)

5.น้ำตาล

6.วิปปิ้งครีม

7.ผลไม้รสเปรี้ยวเพื่อตัดรส

มูสช็อกโกแลต วิธีทำขอบอกเลยว่าง่ายมาก ๆ เรียงขั้นตอนได้เลยดังนี้

1.ละลายดาร์กช็อกโกแลต

2.ตีไข่แดงและค่อย ๆ ใส่น้ำตาลลงไปทีละน้อย คนให้น้ำตาลละลายและไข่แดงขึ้นฟูสีขาวเนียน

3.ค่อย ๆ ใส่วานิลลาลงไป (ระวังไม่ให้ใส่เยอะเกินเพื่อไม่ให้กลิ่นวานิลลากลบมูสช็อกโกแลต)

4.นำช็อกโกแลตที่ละลายกำลังอุ่น ๆ ค่อย ๆ ใส่ลงไปในไข่ทีละนิดเพื่อไม่ให้ไข่สุกไวเกินไป จากนั้นตีให้ทั้งหมดเข้ากัน

5.ตีไข่ขาวให้ฟูเป็นสีขาว

6.นำไข่ขาวลงไปและคนให้เข้ากับช็อกโกแลต

7.จากนั้นเทใส่แก้วและนำไปแช่ตู้เย็นประมาณ 2-3 ชั่วโมง

8.ตกแต่งด้วยผลไม้รสเปรี้ยวและสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับมูสช็อกโกแลต วิปครีมนั่นเอง

สำหรับใครทีต้องการปรับเปลี่ยนเป็นมูสช็อกโกแลตเค้กหรือจะเป็นไวท์ช็อกโกแลตมูสเค้กก็สามารถใช้แป้งสาลีอเนกประสงค์เพื่อทำเค้กแบบง่าย ๆ ก็ได้ ถ้าใครกังวลว่ามูสเค้กละลายไหมบอกเลยว่าไม่แน่นอน นอกจากว่าจะตั้งทิ้งมูสช็อกโกแลตไว้ในอากาศที่ร้อนและนานจนเกินไปนะ

มูสช็อกโกแลตเย็น ๆ เก็บไว้ทานเมื่อไหร่ก็ได้

จบลงไปแล้วสำหรับเมนูขนมหวานอย่างมูสช็อกโกแลต จะเห็นได้ว่าทำง่ายจริง ๆ ซึ่งหากใครที่กำลังดูแลสุขภาพอยู่แต่อยากทำขนมกินก็สามารถปรับเปลี่ยนสูตรเป็นมูสช็อกโกแลต คลีนจากการเลือกใช้น้ำตาลหรือช็อกโกแลตที่ใช้ความหวานทดแทนได้ นอกจากนี้หากเป็นกังวลว่าทำมูสช็อกโกแลต เก็บได้กี่วัน ขอบอกเลยว่าทำทีนึงเก็บไว้กินได้นาน ๆ เลย รู้แบบนี้ต้องลองทำกินเองแล้วล่ะ