Categories
เค้ก

ทอฟฟี่เค้ก เค้กหรือลูกอม แต่ยังไงก็อร่อยถูกใจแน่นอน

หลายคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า ทอฟฟี่เค้ก ผ่านหูมากันบ้าง หรือบางคนอาจจะเคยเห็นหน้าตาของ ทอฟฟี่เค้ก แต่ไม่รู้ว่ามันมีชื่อเรียกว่าอะไร เราก็เคยเป็นหนึ่งในนั้นแถมเรายังเคยคิดว่าชื่อมันเหมือนลูกอมอีกต่างหาก จริง ๆ แล้วทอฟฟี่เค้ก ก็คือเค้กที่มีเนื้อสัมผัสออกแนวชิฟฟ่อนรสช็อกโกแลต หน้าของเค้กราดด้วยถั่วและคาราเมล เพิ่มความหอมหวานมันให้กับเมนูเค้ก

ซึ่งหลาย ๆ คนอาจเคยได้ยินชื่อเสียงเลื่องลือของทอฟฟี่เค้ก สวนดุสิต ที่เป็นที่นิมยมซื้อทานและซื้อฝากเพื่อน ๆ วันนี้เราจึงขอนำ สูตรทอฟฟี่เค้ก หนึ่งสูตรมาฝากทุกคน ไว้ลองทำตามกันที่บ้าน เผื่อไว้ทานสลับกับการต้องสั่งซื้อมาทาน

ส่วนประกอบของทอฟฟี่เค้ก

ส่วนของเนื้อเค้ก

  1. แป้งเค้กอเนกประสงค์ 100 กรัม
  2. เบคกิ้งโซดา 1/2 ช้อนชา
  3. ผงฟู 1/2 ช้อนชา
  4. ผงกาแฟ 2 ช้อนโต๊ะ
  5. ผงโกโก้ 2 ช้อนโต๊ะ
  6. น้ำตาลทราย 50 กรัม
  7. เกลือ 1/4 ช้อนชา
  8. นมสด 60 กรัม
  9. ไข่ไก่ 3 ฟอง แยกส่วนไข่ขาว และไข่แดงออกจากกัน
  10. น้ำมันพืช 70 กรัม
  11. น้ำตาล 90 กรัม สำหรับตีเมอแรงค์
  12. ครีมออฟทาร์ทาร์ 1/2 ช้อนชา

ส่วนของหน้าเค้ก

  1. เม็ดมะม่วงหิมพานต์อบ 200-300 กรัม
  2. นมข้นจืด 120 กรัม
  3. เนยสดเค็ม 160 กรัม
  4. ผงกาแฟ 2 ช้อนชา
  5. น้ำตาลทราย 140 กรัม
  6. น้ำเชื่อมข้าวโพด 2 ช้อนโต๊ะ
  7. แป้งเค้ก 2 ช้อนโต๊ะ
  8. กลิ่นวนิลา 1 ช้อนชา

วิธีทำของทอฟฟี่เค้ก

ขั้นตอนที่ 1 ร่อนแป้งเค้ก ผงฟู ผงโกโก้ ผงกาแฟ และแป้งเค้กลงในชามผสม และเติมน้ำตาลทรายตามลงไป คลุกให้ส่วนผสมเข้ากัน

ขั้นตอนที่ 2 นำไข่แดงที่แยกไว้มาตีในชามผสมอีกใบหนึ่ง จากนั้นจึงใส่นมสด ตีให้เข้ากัน ตามด้วยน้ำมันพืช และตีให้เข้ากัน

ขั้นตอนที่ 3 นำส่วนผสมในขั้นตอนที่ 1 และ 2 ผสมกัน และเตรียมใส่ลงในเครื่องตีผสม

ขั้นตอนที่ 4 เตรียมเมอแรงค์ ด้วยการตีไข่ขาวให้เป็นฟอง และเติมครีมออฟทาร์ทาร์ที่จะทำให้ขึ้นฟอง และตีไปเรื่อย ๆ จนเมอแรงค์ตั้งเป็นยอดอ่อน

ขั้นตอนที่ 5 นำเมอแรงค์ที่ได้แบ่งใส่ลงในโถผสม โดยค่อย ๆ แบ่งใส่ ให้ตัวเนื้อเค้กมีความฟูนุ่ม เมื่อส่วนผสมทุกอย่างเข้ากันดีจึงเทใส่พิมพ์ อบที่ 170 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 15-20 นาที

ขั้นตอนที่ 6 ระหว่างรออบแป้งเค้ก จะเตรียมส่วนหน้าเค้ก โดยการนำนมข้นจืด เนยสดใส่ลงไปในหม้อตั้งไฟอ่อน ๆ คนจนเนยละลาย แล้วจึงเติมผงกาแฟ รอละลาย และจึงเติมน้ำตาลทราย คนจนละลายอีกเช่นกัน

ขั้นตอนที่ 7 เพื่อเพิ่มความหนืดใส่น้ำเชื่อมข้าวโพดลงไป คนจนละลาย และตามด้วยแป้งเค้ก คนให้ละลายอีกเช่นเดิม

ขั้นตอนที่ 8 เมื่อความข้นหนืดได้ที่ให้ปิดไฟยกลงจากเตา เติมกลิ่นวนิลา และเม็ดมะม่วงหิมพานต์ลงไป

ขั้นตอนที่ 9 ตักราดลงไปบนเค้กที่อบเสร็จ จากนั้นนำไปอบต่อที่ 200 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 10-12 นาที โดยจะต้องหาถาดรองน้ำ รองพิมพ์เค้กก่อนนำเข้าอบด้วย

ขอฝากเมนู ทอฟฟี่เค้ก นี้ไว้สำหรับใครที่อยากจะลองทำเค้กทานเอง เมนูนี้อาจจะต้องใช้สกิลการทำขนมมาระดับหนึ่ง แต่ถ้าหากมือใหม่อยากลองทำก็ทำได้น้า

Categories
ขนมหวาน

ทับทิมกรอบ ขนมหวานที่อร่อย จนต้องบอกต่อ

ทับทิมกรอบ ขนมหวานขึ้นชื่อของประเทศไทยที่มีสูตรการทำตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น แต่เด็กสมัยนี้กลับไม่รู้จัก! เพราะในปัจจุบันมีความจากต่างประเทศที่เข้ามาดัดแปลงขายอยู่ในไทยมากมาย ทำให้ขนมไทยที่เคยเป็นที่นิยมนั้นเริ่มหายไปตามกาลเวลา แต่ในเมื่อเราเป็นคนไทยเราก็ควรที่จะรักษามันเอาไว้ เพราะฉะนั้นเรามาเรียนรู้การทำทับทิมกรอบกันดีกว่าค่ะ

 ซึ่งวิธีการทำ ทับทิมกรอบ นั้นก็มีอยู่ด้วยกันหลายสูตรหลายวิธิ เช่น ทับทิมกรอบสูตรโบราณ ทับทิมกรอบสูตรชาววัง ทับทิมกรอบอัญชัน และที่พวกเราน่าจะรู้จักกันดีที่สุดคือทับทิมกรอบมะพร้าวกะทิ ซึ่งถ้าจะพูดถึงเรื่องรสชาติของทับทิมกรอบนั้นเราก็คงรู้อยู่แล้วว่ามันทั้งหวานหอมแถมยังหนึบนอกกรอบในอีกต่างหาก  ว่าแต่ว่าทับทิมกรอบที่เราชื่นชอบกันอร่อยขนาดนี้แล้ววิธีการทำเป็นยังไง เรามาดูกันเลยดีกว่าค่ะ

ทับทิมกรอบที่เราจะมาทำกันในวันนี้นั่นก็คือ “ทับทิมกรอบสูตรโบราณ” นั่นเองค่ะ โดยมีวิธีการทำดังนี้

วัตถุดิบ

ทำแป้งทับทิมกรอบ

  1. แป้งมัน 2 ถ้วยตวง
  2. แป้งท้าว ½ ถ้วยตวง
  3. น้ำเปล่า 1 ½ ถ้วยตวง
  4. สารส้ม

น้ำเชื่อม

  1. น้ำลอยดอกมะลิ (ถ้าไม่มีสามารถใช้น้ำเปล่าได้) 2 ถ้วยตวง
  2. น้ำตาลทราย 1 ถ้วยตวง
  3. ใบเตยมัดปม 3 ใบ
  4. เกลือ ประมาณ 1 หยิบ (ไม่ควรใส่มากเกินไป)
  5. ขนุนสุก

กะทิอบควันเทียน (ในวิธีนี้หากมีกะทิอบควันเทียนอยู่แล้วก็สามารถใช้ได้เลย)

  1. กะทิ (ใส่ตามใจชอบ)
  2. ใบเตยมัดปม
  3. เกลือเล็กน้อย
  4. เทียนสำหรับอบขนม

วิธีทำ

วิธีทำแป้งทับทิมกรอบสูตรโบราณ

  1. เริ่มด้วยการนำแป้งมันและแป้งท้าวผสมกันแล้วค่อย ๆ เทน้ำเปล่าใส่จนหมด ค่อย ๆ เทนะคะอย่าเททีเดียวหมดเพราะระหว่างที่เทเนี่ยมือเราก็ควรที่จะนวดแป้งไปด้วย
  2. เมื่อเทน้ำเปล่าจนหมดแล้วคราวนี้เราก็จะมาใช้เจ้าสารส้มที่เราได้เตรียมไว้นั้นแกว่งลงไปเพื่อที่จะให้แป้งนั้นนอนก้น แกว่งสารส้มลงไปประมาณ 1 นาที และพักแป้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง เราก็จะสังเกตได้ว่าจะมีน้ำใส ๆ ลอยอยู่บนผิวแป้ง ให้เราทำการรินน้ำใส ๆ นั้นทิ้งค่ะ
  3. หลังจากนั้นนำแป้งที่ได้เทใส่กล่อง ซึ่งวิธีการเทนั้นก็ต้องนำกระดาษทิชชู่หนา ๆ แล้วผ้าขาวบางมาวางไว้ที่กล่องแล้วจึงเทแป้งที่ได้แล้วลงไปที่ผ้าวขาวบางที่เราได้เตรียมไว้ในกล่องแล้วเพื่อที่เวลาเรานำแป้งออกจะได้ง่ายนั่นเอง
  4. เมื่อเราเทแป้งทับทิมกรอบลงในกล่องเรียบร้อยแล้วเราก็นำสีแดงที่ใช้สำหรับผสมอาหารเจือจางกับน้ำเล็กน้อย หลังจากนั้นนำสีทาลงไปในตอนที่แป้งเปียกได้เลยค่ะ และที่สำคัญคือเราต้องคอยสังเกตหน้าแป้งด้วย ถ้าหน้าแป้งแห้งไม่มากให้โรยแป้งนวลหนา ๆ ไปที่ผิวหน้าแป้งได้เลยค่ะแล้วพักทิ้งไว้ 20 นาที เพื่อที่แป้งนวลจะได้ดูดซับความชื้นออกจากตัวแป้ง
  5.  เมื่อแป้งเซตตัวได้ที่แล้วนำแป้งมาตัด ตัวยาวจะตัดเป็นเส้นเล็ก ๆ ขนาดเท่าไม้ขีดไฟ ตัวสั้นจะตัดเล็ก ๆ เหมือนเม็ดทับทิม โรยแป้งนวลบาง ๆ กันตัวแป้งติดกัน ซึ่งเคล็ดลับ เวลาตัดแป้งก็ควรที่จะทำเบาๆ เพราะแป้งแตกหักง่ายมากโดยเฉพาะตัวยาว ต้องทะนุถนอมให้มาก ๆ และปัญหาที่พบบ่อย ๆ ก็คือแป้งแห้งเกินไปจะตัดตัวยาวไม่ได้เลยเพราะแตกหักหมด

วิธีทำน้ำเชื่อม

วิธีทำน้ำเชื่อมสำหรับทับทิมกรอบสูตรโบราณที่ก็ง่ายมาก ๆ เลยล่ะค่ะ เพียงแค่เติมน้ำลอยดอกมะลิ น้ำตาลทราย ตั้งไฟอ่อนไม่ต้องคนนะคะ พอร้อนก็ใส่ใบเตย เกลือ พอน้ำตาลละลายหมดให้ต้มต่ออีกประมาณ 10 นาที จากนั้นแบ่งน้ำเชื่อมบางส่วนที่ยังร้อนตักแช่กับขนุนพักไว้ เพียงเท่านี้เราก็จะได้น้ำเชื่อมที่ไว้ทานกับทับทิมกรอบกันแล้วค่ะ

วิธีทำกะทิอบควันเทียน

วิธีนี้ในปัจจุบันเราก็จะเห็นบริษัทน้ำกะทิหลายบริษัทผลิตออกมาเป็นน้ำกะทิอบควันเทียนกันใช่ไหมคะ แต่วันนี้เราจะพาทกคนมารู้ว่ากะทิอบควันเทียนแบบโบราณเนี่ยเขาทำกันยังไง โดยเราจะนำกะทิตั้งไฟอ่อน พอร้อนก็ใส่ใบเตยลงไป ใส่เกลือลงไปให้ออกเค็มนิดหน่อยพอร้อนห้ามเดือดจะได้ไม่แตกมันนำอบควันเทียนอีก 1ชม. ไม่ยากเลยใช่ไหมล่ะคะ

เมื่อทำครบเสร็จตามนี้แล้วเราก็จะได้ทับทิมกรอบสูตรโบราณมาทานกันแล้ว ทั้งหนึบ กรอบ แถมยังหวานหอมขนาดนี้ ถ้าไม่ทำทานตอนนี้แล้วจะไปทำทานตอนไหนกันล่ะคะ แถมวิธีทำก็ไม่ได้ยากเลย ยิ่งถ้าได้ทำร่วมกันกับคนในครอบครัวในวันว่าง ๆ แล้ล่ะก็จากทับทิมกรอบที่หวานธรรมดา ๆ จะต้องกลายเป็นทับทิมกรอบที่หวานมาก ๆ เลยล่ะค่ะ แต่ก็อย่าทานเยอะเกินไปนะคะเป็นห่วงกลัวว่าน้องเบาหวานจะถามหากันซะก่อน

Categories
ขนมหวาน

กล้วยบวชชี ขนมหวานสูตรทำง่าย

กล้วยบวชชี เป็นขนมหวานโบราณพื้นบ้านคู่กับคนไทยมานาน อีกทั้งกล้วยก็เป็นวัตถุดิบที่หาได้ง่าย หรือเรียกว่ามีให้ใช้ได้ตลอดทั้งปี อยู่ที่ว่าต้องการจะใช้กล้วยชนิดไหนมาทำ เช่น กล้วยน้ำว้า กล้วยไข่  ในส่วนวิธีการทำก็มีขั้นตอนไม่ยุ่งยาก บวกกับเทคนิคเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่จะทำให้ขนมหวานนั้นมีรสชาติดั้งเดิมและยังเป็นขนมที่ได้ประโยชน์สารอาหารจากกล้วยอีกด้วย

วัตถุดิบในการทำกล้วยบวชชี

  1. กล้วยน้ำว้าห่าม 1 หวี
  2. หัวกะทิ  2 ถ้วยตวง ( สามารถใช้กะทิกล่องได้ )
  3. เกลือป่น  1 ช้อนชา
  4. น้ำตาล  200 กรัม
  5. น้ำเปล่า  1 ถ้วย
  6. ใบเตยมัดปม

วิธีทำกล้วยบวชชี

  1. วิธีทำกล้วยบวชชีไม่ให้ฝาด และไม่เละ คือการเลือกกล้วยควรจะเลือก กล้วยน้ำว้าที่หวีห่าม ๆ ที่มีสีเหลืองเจือเขียวเล็กน้อย ให้ทำการปอกเปลือก ผ่าเป็น 4 ชิ้น นำไปต้มในน้ำเดือด ใส่เกลือเล็กน้อย ประมาณ 7 นาที เพื่อให้ยางกล้วยออกก็จะทำให้กล้วยไม่ฝาดได้อีกด้วย
  2. สำหรับหลายคนที่อาจจะกลัวว่ากล้วยจะมีรสเปรี้ยว ก็มีวิธีทำกล้วยบวชชีไม่ให้เปรี้ยวได้โดยการนำกล้วยทั้งเปลือกมาต้มกับน้ำเดือด ใส่เกลือเล็กน้อยใช้เวลาประมาณ 7 นาที จากนั้นนำมาพักไว้ให้เย็น ก่อนปอกเปลือกแล้วผ่าเป็น 4 ชิ้น เท่านี้กล้วยบวชีก็จะไม่มีรสเปรี้ยวแล้ว
  3. นำกะทิใส่หม้อ ใส่น้ำตาล เกลือป่น คนให้น้ำตาลละลายโดยที่ยังไม่ตั้งไฟเพื่อไม่ให้กะทิแตกมัน หากไม่สามารถซื้อกะทิสดได้ ก็ปรับเปลี่ยนเป็นวิธีทำกล้วยบวชชี กะทิกล่อง ได้เช่นกันรสชาติก็จะมียังคงหอมมันไม่แพ้กัน
  4. เมื่อกะทิน้ำตาลละลายดีแล้ว ให้นำขึ้นตั้งไฟ ใส่กล้วยต้มลงไป ต้มต่อประมาณ 10 นาที เพื่อให้กะทิซึมเข้าในเนื้อกล้วย จากนั้นตักเสิร์ฟ

วิธีทำกล้วยบวชชีแบบง่าย ๆ กล้วยสุกกำลังพอดี แต่สำหรับคนที่ชอบกินขนมหวานกล้วยบวชชีนิ่ม ๆ ก็สามารถที่จะต้มต่อได้อีกประมาณ 5-10 นาทีเพื่อให้กล้วยนิ่มขึ้น และยิ่งให้กะทิซึมเข้าเนื้อมากขึ้น ก็จะหวานมันทั้งกะทิและเนื้อกล้วยพร้อมตักเสิร์ฟได้เลย

Categories
ขนมหวาน

ปลากริมไข่เต่า ขนมแชงมาขนมหวานโบราณ

ปลากริมไข่เต่า ที่มา แต่เดิมเป็นขนมหวานเรียกว่าขนมแชงมา เป็นขนมโบราณมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เป็นการกินผสมกัน 2 ชนิดคือ ขนมปลากริม และขนมไข่เต่า ภายในถ้วยเดียวกัน ซึ่งในปัจจุบันนี้จะหาปลากริมไข่เต่า ที่ไหนอร่อย ๆ แบบโบราณดั้งเดิมก็คงจะหายากมาก ๆ แต่ก็ยังมีปลากริมไข่เต่า 7-11 หรือปลากริมไข่เต่าเยาวราชสำหรับคนกำลังหาซื้อ แต่ถ้ามีเวลาทำก็ลองสูตรนี้ได้เลย รสชาติหวานมันเค็มกำลังพอดี วิธีทำละเอียดและทำง่ายมาก ๆ

วัตถุดิบในการทำ ปลากริมไข่เต่า

ตัวแป้งปลากริมไข่เตา ตัวขาวและตัวแดง

  1. แป้งข้าวเจ้า  250 กรัม
  2. แป้งมัน   250 กรัม
  3. น้ำ  1 ถ้วย
  4. หัวกะทิ 2   1/2 ถ้วย
  5. เกลือ   1/4 ช้อนชา

น้ำลอยปลากริม (สีน้ำตาลแดง)

  1. น้ำตาลทรายขาว   250 กรัม
  2. น้ำตาลมะพร้าว   1 กิโลกรัม
  3. น้ำ   2 ถ้วย
  4. ใบเตย (มัดไว้ลอยแต่งกลิ่น)   1-2 มัด

น้ำลอยไข่เต่า (สีขาว)

  1. หางกะทิ 2   1/2 ถ้วย
  2. เกลือ   1/4 ช้อนชา

วิธีทำปลากริมไข่เต่า

  1. น้ำลอยปลากริม (รสหวาน)  กระทะทองใส่น้ำตาลทราย ตั้งไฟอ่อนผัดให้เป็นสีเหลืองเข้ม (คาราเมล) ค่อย ๆ เติมน้ำ 2  ถ้วย เพื่อคลายน้ำตาลที่ร้อน จากนั้นน้ำตาลปีบ/มะพร้าว ใช้ไฟกลาง คนให้ละลายเข้ากันใส่ใบเตยมัดไว้ รอให้เดือดแล้วปิดไฟ
  2.  น้ำลอยไข่เต่า (รสเค็ม) หางกะทิใส่หม้อตั้งไฟแรง ใส่เกลือ คนให้ละลายเข้ากันจนเดือด ปิดไฟพักไว้
  3. ตัวแป้งปลากริมไข่เตา แป้งข้าวเจ้า (ตักแบ่งออกไว้ทำแป้งนวล 3/4 ถ้วย) ใส่น้ำ 1 ถ้วย ผสมกันในหม้อละลายให้แป้งข้น ตักแป้งแล้วเทดูให้หนืด ๆ ตั้งไฟให้ร้อนประมาณ 1 นาที คนตลอดเวลากันแป้งติดก้นหม้อ พอสุก ๆ ดิบ ๆ ยกลงพักไว้ให้พออุ่น
  4. แป้งมัน (ตักแบ่งออกไว้ทำแป้งนวล 3/4 ถ้วย) ไปผสมกับแป้งข้าวเจ้าในข้อ 3 ใส่หัวกะทิ 1/2 ถ้วยนวดจนนุ่มมือ นวดประมาณ 30 นาที ใส่หัวกะทิ 1 ถ้วย เพื่อให้แป้งนุ่มและหอม ใส่เกลือ คนให้ละลาย ตั้งไฟให้พอเดือดแล้วยกลง กวนพอสุก ๆ  ดิบ ๆ แบ่งเป็น 2 ส่วนสำหรับทำตัวแดงและตัวขาว
  5. ตัวแดงหรือปลากริม (รสหวาน) นวดแป้งมันในข้อ 4 กับน้ำเปล่า 1/2 ถ้วย ให้เข้ากันประมาณ 30 นาที เพื่อทำให้แป้งนิ่มและมีความเหนียว แต่ไม่เหลวหรือแข็งจนเกินไป นำไปต้มโดยกดผ่านพิมพ์ เมื่อสุก ใช้กระชอนตักสะเด็ดน้ำไปลอยในน้ำตาลในข้อ 1 รอให้ตัวแป้งดูดน้ำจนอิ่มตัว จะเป็นตัวชูให้ขนมหวาน
  6. ตัวขาวหรือไข่เต่า (รสเค็ม) นำแป้งในข้อ 4 นวดกับหัวกะทิ 1/2 ถ้วย ให้เข้ากันประมาณ 30 นาที เพื่อทำให้แป้งนิ่มและมีความเหนียว นำไปต้มโดยกดผ่านพิมพ์ เมื่อสุก ใช้กระชอนตักสะเด็ดน้ำ ใส่ลงไปลอยในน้ำกะทิในข้อ 2 รอให้ตัวแป้งดูดน้ำกะทิจนอิ่มตัว แป้งจะมีรสเค็มสีขาว
  7. วิธีตักขนมหวานปลากริมไข่เต่า ตักตัวแดงก่อน 1/2 ทัพพี ตัวขาว 1 1/2 ทัพพี ตักตัวขาวมากกว่าเพราะตัวแดงมีรสหวานจัด ตัวขาวมีรสเค็มและมัน เวลารับประทานต้องผสมกันจึงจะหวานมันเค็มพอดี

สำหรับการต้มแป้งปลากริมไข่เต่า ควรจะใช้น้ำเดือดแล้วหรี่ไฟอ่อนถึงกลาง แล้วใช้แป้นพิมพ์วางบนปาก นำแป้งไปกดบนพิมพ์ ให้ออกเป็นเส้นไหลลงหม้อน้ำร้อน เมื่อแป้งสุดจะลอยขึ้นมา ก็จะได้ส่วนผสมของขนมหวานง่าย ๆ จะทำกินเอง หรือจะทำขายก็ได้ ไม่ยากอย่างที่คิด

Categories
ขนมหวาน

บัวลอย ไข่หวานเจ้าเพื่อนยาก ที่วิธีทำไม่ได้ยากอย่างที่คิด

บัวลอยไข่หวานไม่ว่าคนรุ่นไหนก็ต้องรู้จักกันนั้น เพราะ บัวลอย คือขนมหวานขึ้นชื่อที่ไม่ว่า ใครมาเมืองไทยแล้วเป็นต้องลองลิ้มและลิ้มลองกันเป็นแน่นอน ซึ่งถ้าใครได้มีโอกาสไปเดินย่านเยาวราชจะสามารถเห็นได้ชัดเลยว่าย่านนั้นมีร้านบัวลอยไข่หวานร้านดังหลายร้านกันเลยทีเดียว แถมรสชาติก็ถูกปากทั้งหวานทั้งมัน เรียกได้ว่าเป็นขนมหวานที่ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติต่างก็ชื่นชอบกันมากทีเดียวเลยล่ะค่ะ

แต่ถ้าเกิดใครนึกสนุกอยากจะลองทำบัวลอยไข่หวานขึ้นมา เราก็จัดให้ค่ะ เพราะวิธีการทำนั้นง่ายมาก ๆ ใช้มีวัตถุดิบแค่ไม่กี่อย่างแถมระยะเวลาก็ไม่นานมากด้วย ซึ่งในวันนี้เราจะมาสอนเพื่อน ๆ ทำ บัวลอย ไข่หวานด้วยกะทิกล่องกันค่ะ เพราะสามารถหาซื้อได้ง่ายตามร้านสะดวกซื้อทั่วไป ถ้าพร้อมแล้วก็ไปลุยกันเลยค่ะ

วัตถุดิบ

  1. แป้งข้าวเหนียว 150 กรัม
  2. แป้งข้าวเจ้า 15 กรัม
  3. ฟักทอง แครอทแลละดอกอัญชัน สำหรับทำสีแป้งบัวลอยไข่หวาน (เลือกเองได้ตามใจชอบนะคะ)
  4. กะทิกล่องขนาด 250 กรัม
  5. น้ำตาลมะพร้าว ½ ทัพพี
  6. น้ำตาลทราย 1 ทัพพี (สามารถประมาณได้ตามใจชอบ)
  7. ใบเตยมัดปม 1 มัด
  8. เนื้อมะพร้าว (ตามใจชอบ)
  9. เกลือ ประมาณ 1 หยิบ (ไม่ควรเยอะเกินไป)
  10. ไข่ไก่ หรือ ไข่เป็ด

วิธีทำบัวลอยไข่หวานกะทิกล่อง

  1. นำแป้งข้าวเหนียวและแป้งข้าวเจ้าผสมกัน ทำเป็นสัดส่วนไว้สำหรับทำสีแป้ง โดยครั้งนี้เราจะทำด้วยกัน 3 สีค่ะ ซึ่งก็ต้องเตรียมผัก 3 อย่าง นั่นก็คือ ฟักทองสำหรับทำแป้งบัวลอยไข่หวานสีเหลือง แครอทสำหรับทำแป้งบัวลอยไข่หวานสีส้ม และดอกอัญชันสำหรับทำบัวลอยไข่หวานสีฟ้าอมม่วงค่ะ ซึ่งเราก็ต้องนำผักทั้ง 3 อย่างนี้ไปทำให้สุกก่อนจากนั้นจึงนำมานวดกับแป้งที่เราได้แบ่งสัดส่วนสำหรับทำสีไว้
  2. นวดจนสีสม่ำเสมอกันนะคะสามารถเติมน้ำอุ่นได้เพื่อให้การปั้นนั้นง่ายขึ้นค่ะ นวดจนกว่าแป้งจะไม่ติดมือ ถ้ารู้สึกว่าแป้งแห้งไปก็สามารถเติมน้ำได้ค่ะ เมื่อเรานวดแป้งทั้ง 3 สีเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็มาลงมือปั้นแป้งบัวลอยไข่หวานกันเลยค่ะ
  3. ขั้นตอนการปั้นแป้งบัวลอยไข่หวานนี้ง่าย ๆ มากเลยค่ะ เพียงแค่ปั้แป้งนลูกบัวลอยเป็นรูปวงกลมขนาดพอดีคำ หรือใครที่อยากปั้นเป็นรูปต่าง ๆ ก็สามารถทำได้เลยนะคะ  เมื่อปั้นเสร็จแล้วให้นำแป้งข้าวเหนียวคลุกเล็กน้อยเพื่อเวลาที่ต้ม ตัวแป้งบัวลอยไข่หวานที่เราปั้นไว้จะได้ไม่ติดกันนั่นเองค่ะ
  4. เมื่อเราปั้นแป้งบัวลอยไข่หวานเสร็จแล้วเราก็นำมาต้ม โดยเราจะต้องต้มน้ำตั้งไฟให้เดือดแล้วจากนั้นนำแป้งบัวลอยที่ปั้นไว้ลงทีละสี รอจนกว่าบัวลอยจะลอยขึ้นมาถ้าลอยขึ้นมาแล้วก็หมายความว่าสุกแล้วค่ะ
  5. เมื่อบัวลอยสุกเราเราก็จะมานำบัวลอยไปน็อกกับน้ำเย็น อีกอึดใจเดียวเราก็จะได้ทานบัวลอยไข่หวานกันแล้ว
  6. เมื่อเราเตรียมแป้งเสร็จเรียบร้อยแล้วขั้นตอนต่อไปเราก็จะมาทำน้ำกะทิสำหรับทำบัวลอยไข่หวานกันเลยค่ะ โดยเราจะนำกะทิกล่องมาต้มในระหว่างที่ต้มนั้นให้เราใส่น้ำตาลมะพร้าว น้ำตาลทราย เกลือ ใบเตยมัดปมและเนื้อมะพร้าวลงไป
  7.  เมื่อน้ำเริ่มเดือดได้ที่ให้ตอกไข่ลงไป ซึ่งปกติแล้วเราจะเห็นตามร้าน 1 ถ้วยก็จะมีไข่ให้ 1 ใบใช่ไหมคะ แต่ถ้าเราทำกินเองก็ตามใจชอบเลยค่ะ ต้มไว้ประมาณ 4-5 นาที แค่นี้ก็เสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ

เห็นไหมล่ะคะว่าการทำบัวลอยไข่หวานที่ทั้งหอม หวาน มัน เนี่ยไม่ได้ยากเลย ยิ่งถ้าเป็นบัวลอยไข่หวานกะทิกล่องแล้วก็ยิ่งทำง่ายค่ะ เพราะไม่ต้องเสียเวลาไปคั้นน้ำมะพร้าวแบบบัวลอยไข่หวานกะทิสด ซึ่งก็ทำให้เราได้ทานบัวลอยไข่หวานในระยะเวลาที่เร็วยิ่งขึ้น แถมยังเป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์อีกต่างหาก ถ้าหากว่าคุณนึกอยากทำขนมหวานแต่ยังนึกไม่ออกว่าจะทำอะไรดี ก็สามารถทำบัวลอยไข่หวานทานกันได้นะคะ

Categories
ขนมไทย

มารู้จักขนมไทยยอดฮิตอย่าง ขนมถ้วยฟู กัน

หนึ่งในขนมไทยที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดต้องมีชื่อของ ขนมถ้วยฟู ติดอันดับอยู่อย่างแน่นอน ขนมชนิดนี้ถือว่าเป็นขนมมงคลมักจะใช้ในหลาย ๆ โอกาส เพราะมีความหมายที่คล้ายกับความเฟื่องฟูรุ่งเรืองนั่นเอง

วันนี้เราจะพาคุณมาลองทำขนมถ้วยฟูด้วยตัวเองกัน บอกเลยว่าวิธีทำไม่ยาก มีลูกเล่นที่สีสันออกแบบได้ตามต้องการ และทุกคนทำได้อร่อยกันอย่างแน่นอน

วัตถุดิบของขนมถ้วยฟู

แป้งสาลี                        200      กรัม

ผงฟู                              1          ช้อนชา

ไข่ไก่สด                         2          ฟอง

น้ำ                                100      กรัม

น้ำมะนาว                      1          ช้อนชา

กลิ่นมะลิ                       ½         ช้อนชา

น้ำตาล                          180      กรัม

SP                                10        กรัม

นมข้นจืด                       50        กรัม

สีผสมอาหาร                              สีตามที่ชอบหรือต้องการกันได้เลย

วิธีทำเค้กถ้วยฟู

1. เตรียมน้ำเปล่าใส่ถังเอาไว้ประมาณ 3ใน 5 ของถัง จากนั้นนำผ้าขาวบางมาห่อฝาเพื่อทำการปิดลังเอาไว้ วิธีนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้น้ำหยดใส่ขนม

2. ร่อนแป้งและผงฟูเข้าด้วยกัน จากนั้นทำการพักไว้

3. ตีไข่ไก่ น้ำตาล และ SP ด้วยกันในความเร็วสูงสุดประมาณ 5 นาที หรือตีจนสังเกตได้ถึงความข้นเหนียวระหว่างนี้ก็เตรียมเตานึ่ง โดยทำการตั้งไฟแรงสุดจนน้ำเดือด

4. เติมแป้งถ้วยฟูพร้อมผงฟูที่ร่อนไว้ลงไปตีแต่ต้องค่อย ๆ เติมลงไปทีละน้อยและตีช้า ๆ จนแป้งหมด จากนั้นตีต่ออีก 1 นาที

5. เติมนมจืด น้ำมะนาว และกลิ่นมะลิลงไป จากนั้นเริ่มเปลี่ยนมาตีด้วยความเร็วสูงอีก 5 นาที สลับกลับมาตีเบาอีก 1 นาที เพื่อไล่ฟองอากาศ

6. แบ่งส่วนผสมตามสีที่ต้องการ ขั้นตอนนี้ไม่จำกัดสามารถทำได้ตามที่คุณต้องการ โดยทำการหยอดสีลงที่ขนมทีละหยด คนให้สีเข้ากับแป้งและเพิ่มลดความเข้มอ่อนได้ตามที่ชอบ

7. เตรียมถ้วยกระดาษรองด้วยพิมพ์อลูมิเนียม ตักแป้งเติมลงให้เต็มถ้วย

8. วางขนมลงไปในหม้อนึ่ง หรี่ไฟให้เป็นไฟอ่อน นึ่งประมาณ 15 นาที

muffin cup cake or cotton-wool cake dessert thailand.

เมนูนี้มีความสนุกและน่าสนใจอยู่ที่สีของ ขนมถ้วยฟู นั่นเอง ถ้าใครอยากลองทำขนมไทยสไตล์น่ารักบอกเลยว่าไม่ควรพลาดเมนูนี้ รับรองว่าเป็นเมนูที่ทั้งอร่อยและเป็นมงคลในเวลาเดียวกันอย่างแน่นอน

Categories
ขนมไทย

ขนมตาล ขนมไทยที่คุณไม่ควรพลาดการทำด้วยตัวเอง

ต้องบอกเลยว่าไทยเรานั้นโดดเด่นในเรื่องของอาหารการกินและขนมมากเป็นพิเศษ อย่างที่พอจะรู้ว่าขนมไทยนั้นมีหลากหลาย เช่น ขนมตาล และแต่ละชนิดยังมีรายละเอียดที่แสนจะมีเสน่ห์อีกด้วย

นี่คือเมนูขนมไทยที่ถือว่าเป็นของว่างไทยง่าย ๆ เลยก็ว่าได้ สำหรับใครที่ชอบทานขนมตาลอยู่แล้วลองหันมาทำเองก็น่าจะช่วยเพิ่มความเพลิดเพลินและเป็นกิจกรรมคลายเครียดที่ดีไม่น้อย รับรองว่าสูตรนี้ทำแล้วอร่อยไม่แพ้เจ้าดังอย่างแน่นอน

วัตถุดิบในการทำขนมตาล

น้ำตาลทราย                  400      กรัม

กะทิ                              3          ถ้วย

เนื้อลูกตาลสุก                400      กรัม

แป้งข้าวเจ้า                    500      กรัม

ผงฟู                              1          ช้อนโต๊ะ

มะพร้าวขูดเส้นเล็ก         2          ถ้วย

เกลือ                                         เล็กน้อยไว้ใช้คลุกมะพร้าว

วิธีทำขนมตาลของว่างไทยง่าย ๆ

1. เริ่มจากการนำน้ำตาลมาละลายในกะทิ จากนั้นคนเบา ๆ ให้เข้ากันแล้วใส่เนื้อลูกตาลลงไป

2. เติมแป้งข้าวเจ้าและผงฟูลงไปจากนั้นก็ทำการคนให้เข้ากันจนเนื้อเนียน

3. กรองส่วนผสมแล้วพักเอาไว้ประมาณ 10 นาที จนสังเกตได้ว่าขนมขึ้นฟู

4. ใส่น้ำลงในหม้อนึ่งแล้งทำการเรียงถ้วยตะไลตามถนัดเว้นระยะห่างเล็กน้อย เปิดไฟกลางเตรียมอุ่นเอาไว้

5. ตักส่วนผสมหยอดลงในถ้วยตะไลจนเต็ม จากนั้นโรยด้วยมะพร้าวคลุกเกลือ ทำการนึ่งประมาณ 15-20 นาที

6. ยกลงจากเตา พักให้เย็น จากนั้นค่อยแซะออกจากถ้วย และทำการเสิร์ฟถ้วยฟูลูกตาลได้เลย

นี่คือเมนูขนมไทยที่ถือว่าเป็นของว่างไทยง่าย ๆ เลยก็ว่าได้ สำหรับใครที่ชอบทานขนมตาลอยู่แล้วลองหันมาทำเองก็น่าจะช่วยเพิ่มความเพลิดเพลินและเป็นกิจกรรมคลายเครียดที่ดีไม่น้อย รับรองว่าสูตรนี้ทำแล้วอร่อยไม่แพ้เจ้าดังอย่างแน่นอน

Categories
ขนมไทย

หม้อแกง ที่ไม่ใช่แกงแต่เป็นขนมไทย

เห็นครั้งแรกหลายคนอาจคิด หม้อแกง เป็นขนมไทยที่ทำได้ยาก แต่พอได้รู้จักกับสูตรหม้อแกงโบราณซึ่งเป็นหม้อแกงไข่เนื้อเนียนสูตรนี้กันไปแล้วน่าจะทำให้คุณเริ่มอยากเข้าครัวไปโชว์ฝีมือกันแล้วอย่างแน่นอน สำหรับใครที่สนใจอยากจะรู้จักกับขนมชนิดนี้ให้มากขึ้น

วันนี้เราลองมาดูสูตรและวิธีทำของขนมไทยชนิดนี้กันดีกว่า เผื่อถ้าโดนใจอยากลองทำคุณอาจจะกลายเป็นเชฟขนมไทยคนต่อไปก็เป็นได้

วัตถุดิบขนมไทยสูตรหม้อแกงโบราณ

                ขนมหม้อแกงที่เราหยิบมาแนะนำให้คุณลองทำกันแบบง่าย ๆ ในวันนี้คือ หม้อแกงไข่ ซึ่งบอกเลยว่าคุณจะได้หม้อแกงไข่เนื้อเนียนออกมาทานกันอย่างแน่นอน

หอมแดงซอย                  12        หัว

น้ำมันพืช

ไข่เป็ด                           8          ฟอง

เกลือป่น                        ½         ช้อนชา

กะทิ                              500      กรัม

แป้งข้าวเจ้า                    2          ช้อนโต๊ะ

น้ำตาลปี๊บ                     1          ถ้วยตวง

ใบเตย                           6          ใบ

วิธีทำหม้อแกงไข่เนื้อเนียน

1. เริ่มจากการเจียวหอมแดงด้วยน้ำมันพืชพอหอมเริ่มเป็นสีเหลืองให้ตักขึ้นพักและนำน้ำมันตักเก็บใส่ถ้วย

2. ตอกไข่ใส่ชามและทำการใส่เกลือป่นลงไปจากนั้นตีไข่ให้ขึ้นฟู

3. ผสมไข่ กะทิ แป้ง น้ำตาลปี๊บ และใบเตย แล้วขยำให้เข้ากัน สังเกตจนน้ำตาลละลาย แล้วค่อยนำส่วนผสมที่ได้ไปกรองกับผ้าขาวบาง

4. ใช้น้ำมันที่เหลือจากการเจียวหอมมาทาให้ทั่วพิมพ์อบ แล้วทำการเทส่วนผสมที่กรองแล้วใส่พิมพ์ จากนั้นนำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิประมาณ 175 องศาฯ อบประมาณ 30 นาที อาจเพิ่มลดเวลาด้วยการสังเกตความสุก 5. เมื่อสุกแล้วให้ทาหน้าขนมด้วยน้ำมันที่เจียวหอมแดง และทำการโรยหน้าด้วยหอมเจียว เพียงเท่านนี้ก็พร้อมตัดหม้อแกงเป็นชิ้นเสิร์ฟกันแล้ว

เห็นครั้งแรกหลายคนอาจคิดหม้อแกงเป็นขนมไทยที่ทำได้ยาก แต่พอได้รู้จักกับสูตรหม้อแกงโบราณซึ่งเป็นหม้อแกงไข่เนื้อเนียนสูตรนี้กันไปแล้วน่าจะทำให้คุณเริ่มอยากเข้าครัวไปโชว์ฝีมือกันแล้วอย่างแน่นอน

Categories
ขนมคลีน

มาเก็บสูตร บราวนี่คลีน ขนมสุดฮิตกัน

ถ้าพูดถึงขนมกันขึ้นมาเมนูอย่างบราวนี่นั้นน่าจะเป็นหนึ่งในเมนูที่ขึ้นมาในความคิดของใครหลาย ๆ คนแถมยังเป็นของโปรดอีกด้วย แต่ในยุคนี้การดูแลสุขภาพก็สำคัญเราเลยอยากมาแนะนำเมนู บราวนี่คลีน ให้คุณได้รู้จัก เพราะจะทำให้คุณทั้งได้ทานขนมคลีนไปพร้อมกับดูแลสุขภาพไปพร้อมกัน วัตถุดิบและวิธีทำขนมชนิดนี้จะมีอะไรบ้างมาเริ่มลงมือกันเลยดีกว่า

วัตถุดิบบราวนี่คลีน

ไข่ไก่                               1        ฟอง

กรีกโยเกิร์ต                      ¾       ถ้วยตวง

โอ๊ต                                ½       ถ้วย

ผงโกโก้ 100%                 ½       ถ้วยตวง

ผงฟู                               1        ช้อนชา

นมอัลมอนด์           ¼      ถ้วยตวง

สารแทนความหวาน         2        ช้อนชา

เกลือชมพูเล็กน้อย

วิธีทำบราวนี่คลีน

1. นำเครื่องปั่นมาทำการให้ส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน

2. เมื่อปั่นจนเห็นว่าเนื้อเข้ากันได้เป็นอย่างดีแล้วให้คุณเทเนื้อบราวนี่ทั้งหมดลงใส่พิมพ์ที่เตรียมเอาไว้

3. โรยหน้าด้วยท็อปปิ้งตามที่คุณชอบแนะนำว่าถั่วช่วยเพิ่มรสชาติได้ดีที่สุด จากนั้นนำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 180 องศาฯ และทำการอบเป็นเวลา 15 นาที

4. เมื่อสุกเรียบร้อยแล้วนำออกมาพักไว้ให้บราวนี่คลีนเนื้อหนึบเซ็ตตัวจากนั้นสามารถหั่นเป็นชิ้นเพื่อเสิร์ฟกันได้เลย

         สูตรขนมคลีนอย่างบราวนี่คลีนในวันนี้นั้นเป็นสูตรที่เรียกได้ว่าบราวนี่คลีนเนื้อหนึบทุกคนทานได้อย่างถูกใจแน่นอน และถ้าสังเกตให้ดียังเป็นสูตรบราวนี่ไร้แป้งที่เติมมันหวานเพิ่มเข้าไปได้อีกด้วย ยกให้เป็นมนูขนมอร่อยได้สุขภาพแห่งยุคกันไปเลย

Categories
ขนมคลีน

สายหวานห้ามพลาด ลอดช่องคลีน แนวใหม่

พอพูดถึงลอดช่องหลายคนติดภาพว่าเป็นขนมไทยที่ไม่มีทางจะทำให้หุ่นสวยสุขภาพดีได้แน่ เพราะอัดแน่นไปด้วยกะทิและแป้ง แต่ในยุคนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้เราขอนำสูตรขนมคลีนอย่าง ลอดช่องคลีน มาแนะนำให้คุณได้รู้จักกัน เผื่อว่าจะนำไปทำทานกันเองที่บ้าน ว่าแล้วเรามาเริ่มรู้จักกับของหวานเพื่อสุขภาพเมนูนี้กันเลยดีกว่า

https://food.mthai.com/dessert/126822.html

วัตถุดิบของลอดช่องคลีน

ลอดช่อง            50        กรัม

เฉาก๊วย 50        กรัม

ข้าวโพด             50        กรัม

นมไขมันต่ำ        150      มิลลิลิตร

กราโนล่า                       ตามความชอบ

เติมความหวานด้วยน้ำผึ้งหรือน้ำตาลหญ้าหวานเพื่อทำให้เมนูนี้กลายเป็น Snack คลีนที่สมบูรณ์แบบ

Cr. https://www.wongnai.com/restaurants/16565RZ

วิธีทำลอดช่องคลีน

1. เตรียมวัตถุดิบทุกอย่างตามสูตรหรือตามที่คุณต้องการ

2. หั่นเฉาก๊วยให้พอดีคำ

3. ฝ่านข้าวโพดเป็นแผ่น

4. นำส่วนผสมทุกอย่างลงผสมกันและราดนมพร้อมทั้งเติมความหวานเข้าไปตามที่ต้องการ

https://www.pinterest.com/pin/625015254514816115/

บอกเลยว่านี่คือเมนูที่เหมาะมากจะเป็นอาหารว่างคลีนยามบ่ายเพื่อเพิ่มความสดชื่นระหว่างวัน โดยเมนูลอดช่องคลีน นั้นยังสามารถทำในปริมาณมาก ๆ ได้เพื่อทานกันในครอบครัวหรือกลุ่มใหญ่ เป็นของหวานเพื่อสุขภาพที่ราคาไม่แพง

ปรับแต่งท็อปปิ้งได้ตามที่คุณชอบ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรักสุขภาพแต่ก็รักการทานขนมได้อย่างลงตัว ถ้าคุณอยากเพิ่มสีสันเข้าไปในเมนูขนมคลีนเมนูนี้ของคุณเราขอแนะนำว่าการเพิ่มผลไม้เข้าไปมีส่วนช่วยให้รสชาติอร่อยโดดเด่นและสดชื่นขึ้นได้ แถมยังได้เลือกใส่ตามความชอบของคุณอีกด้วย