Categories
น้ำปั่น

ผลไม้ยอดฮิตที่กำลังดังในตอนนี้ มะม่วงปั่น

เมนูยอดฮิตต้องบอกเลยว่า เป็นผลไม้ที่กำลังดังในตอนนี้ และพลาดไม่ได้เลยจริงๆ วันนี้จะพาทุกคนมารู้จักเมนูที่ทำจากมะม่วงเป็นผลไม้ที่อร่อยและทำได้หลายเมนูไม่ว่าจะเป็น ข้าวเหนียวมะม่วง ไอศกรีมมะม่วง รสชาติดีเลยทีเดียว วันนี้จะพาทุกคนมาทำเมนูน้ำปั่น มะม่วงปั่น ที่อร่อยสดชื่น เหมาะกับอากาศร้อนแบบนี้เลย วัตถุดิบและขั้นตอนการทำไม่ยากและหาซื้อได้ง่าย มาดูสูตร มะม่วงปั่นสมูทตี้กันเลยค่ะ

วัตถุดิบและขั้นตอนการทำ มะม่วงปั่น

สูตรมะม่วงสุก

1.มะม่วงสุก 1 ลูก

2.น้ำเชื่อม 20 ml.

3.เกลือ ¼ ช้อนชา

4.น้ำแข็ง 1 แก้ว ( 18 ออนซ์)

5.เนื้อมะม่วงสุก (ตามใจชอบ ไว้ตกแต่งแก้ว)

ขั้นตอนการทำ มะม่วงปั่นสมูทตี้ สูตรมะม่วงสุก

1.เนื้อมะม่วงสุก 1 ลูก ที่ปลอกเปลือกแล้ว เทใส่เครื่องปั่น เสร็จแล้วปั่นเนื้อมะม่วงจนเป็นน้ำสมูทตี้

2.นำน้ำแข็ง ตามด้วยน้ำเชื่อม เกลือเล็กน้อย จากนั้นปั่นจนน้ำแข็งละเอียด ปั่นประมาณ3-5นาที ดูจากเนื้อน้ำแข็ง ปั่นจนเป็นสมูทตี้

3.เทใส่แก้ว หรือ บรรจุภัณฑ์ที่เตรียมไว้ จากนั้นนำเนื้อมะม่วงสุกที่เตรียมไว้หั่นเป็นลูกเต๋า เพื่อมาตกแต่งหน้าให้สวยงาม พร้อมเสิร์ฟ

(สูตรนี้เป็นสูตรมะม่วงสุก รสชาติหวานสดชื่น)

วัตถุดิบ มะม่วงปั่น สูตรมะม่วงดิบ

1.มะม่วงน้ำดอกไม้ดิบ 1/2 ลูก

2.น้ำเชื่อม 25 ml.

3.เกลือ ¼ ช้อนชา

4.น้ำแข็ง 1 แก้ว ( 18 ออนซ์)

5.เนื้อมะม่วงดิบ (ตามใจชอบ ไว้ตกแต่งแก้ว)

ขั้นตอนการทำมะม่วงปั่น (สูตรมะม่วงดิบ)

1.เนื้อมะม่วงดิบ ½ ลูกที่ปลอกเปลือกแล้วและขูดเป็นเส้นๆ เทใส่เครื่องปั่น

2.นำน้ำแข็ง ตามด้วยน้ำเชื่อม เกลือเล็กน้อย จากนั้นปั่นจนน้ำแข็งละเอียด ปั่นประมาณ3-5นาที ดูจากเนื้อน้ำแข็ง ปั่นจนเป็นเนื้อเดียวกัน

3.เทใส่แก้ว หรือ บรรจุภัณฑ์ที่เตรียมไว้ จากนั้นนำเนื้อมะม่วงดิบที่เตรียมไว้หั่นเป็นลูกเต๋า เพื่อมาตกแต่งหน้าให้สวยงาม พร้อมเสิร์ฟ

(สูตรนี้เป็นสูตรมะม่วงดิบ โดยใช้เป็นมะม่วงน้ำดอกไม้ดิบแก่ รสชาติจะหวาน มัน เปรี้ยว บอกเลยว่าสูตรนี้กลมกล่อมมากๆ เหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบทานหวานมากเกินไป)

สรุป

เป็นยังไงกันบ้างคะกับสูตรมะม่วงปั่น มะม่วงปั่นสมูทตี้ ทั้ง2สูตร บอกเลยว่าเมนูนี้ห้ามพลาดเด็ดขาด ทำไม่ยากแบบที่คิดเลย ที่สำคัญสูตรนี้สามารถทำขายได้เลย เพิ่มรายได้ให้แบบไม่น่าเชื่อ เป็นเมนูคลายร้อนและเหมาะมากกับหน้าร้อนแบบนี้ สามารถเติมความสดชื่นให้คุณได้อย่างรวดเร็ว สำหรับใครที่มองหาเมนูคลายร้อนซัมเมอร์นี้อยู่ ลองทำตามสูตรดูค่ะ ทั้งสูตรหวานและเปรี้ยว เลือกได้ตามใจชอบ บอกเลยไม่ยากและหาซื้อวัตถุดิบได้ง่ายด้วย ความหวานเปรี้ยวสามารถปรับได้ตามชอบเลยค่ะ

Categories
เค้ก

ชวนทำ เค้ก มะพร้าว อ่อน เมนูยอดฮิตหวานหอม นุ่มละมุนลิ้น

สวัสดีค่าวันนี้เราจะมาชวนเพื่อนๆทำ เค้ก มะพร้าว อ่อน เมนูขนมหวานที่หลายคนโปรดปราน ด้วยเนื้อเค้กนุ่มๆรสชาติหวานกำลังพอดี แถมมีเนื้อมะพร้าวอ่อน เหมาะจะทานคู่กับชาหรือกาแฟ เรียกได้ว่าลงตัวสุดๆเลย วันนี้เรามีสูตรทำ เค้กวันเกิด รส มะพร้าว อ่อน มาฝากให้เพื่อนๆลองทำตามกันง่ายๆด้วยนะคะ ถ้าเพื่อนๆพร้อมแล้ว รีบคว้าผ้ากันเปื้อนเข้าครัวไปพร้อมๆกันเลย

วัตถุดิบและวิธีทำเค้ก มะพร้าว อ่อน

ตอนนี้เมนู เค้กวันเกิด รสมะพร้าว อ่อน ก็เป็นอีกเมนูยอดฮิตเพราะว่ามีมากมายหลายรูปแบบให้เพื่อนๆได้เลือกทาน ซึ่งสูตรทำ เค้ก มะพร้าว อ่อน ที่เรานำมาฝากเพื่อนๆในวันนี้จะเป็น เค้กมะพร้าวอ่อนครีมสด ที่มีเนื้อเค้กนุ่มฟู ท็อปด้วยครีมมะพร้าวอ่อนหอมๆ

วัตถุดิบ

ส่วนของเนื้อเค้ก

  • แป้งเค้ก                  จำนวน 75 กรัม
  • ผงฟู                       จำนวน  1 ช้อนชา
  • น้ำตาลทราย          จำนวน 30 กรัม
  • เกลือ                      จำนวน ¼ ช้อนชา
  • น้ำมะพร้าว             จำนวน 60 ml
  • ไข่ไก่                       จำนวน  2 ฟอง
  • น้ำมันพืช                จำนวน 40 ml
  • ครีมออฟทาร์ทาร์    จำนวน ¼ ช้อนชา

ส่วนผสมไส้มะพร้าวอ่อน

  • เนื้อมะพร้าวอ่อน    จำนวน 1 ลูก
  • แป้งถั่วเขียว            จำนวน 30 กรัม
  • น้ำตาลทราย          จำนวน 25 กรัม
  • น้ำมะพร้าว             จำนวน 75 ml
  • กรัม กะทิ                จำนวน 125 ml
  • เนย                        จำนวน 15
  • เกลือ                      จำนวน ¼ ช้อนชา

ส่วนผสมครีมสดสำหรับหน้าเค้ก

  • วิปปิ้งครีม               จำนวน 1 ถ้วยตวง
  • น้ำตาลไอซิ่ง           จำนวน 1 ช้อนชา
  • น้ำมะพร้าว             จำนวน 1 ช้อนชา

วิธีการทำ

ขั้นแรก ทำไส้ครีมมะพร้าวอ่อน

  1. ผสมเนื้อมะพร้าวอ่อน น้ำมะพร้าว กะทิ น้ำตาลทราย เกลือ และแป้งถั่วเขียว ตั้งไฟอ่อน คนเรื่อยจนข้นได้ที่แล้ว ปิดไฟ จากนั้นใส่เนยลงไป คนให้เนยละลาย แล้วพักทิ้งไว้
  2. นำมะพร้าวอ่อนมาขูดเป็นเส้นหรือหั่นตามชอบ แล้วพักทิ้งไว้

ขั้นตอนการทำเนื้อเค้ก

  1. ร่อนแป้งเค้กกับผงฟูเข้าด้วยกัน ควรร่อนอย่างน้อย 2 รอบ
  2. นำส่วนของเหลวมาผสมเข้าด้วยกันก่อน แล้วเทแป้งที่ร่อนเอาไว้ลงไปผสม คนเร็วๆให้ส่วนผสมเข้ากัน
  3. ตีไข่ขาวให้ขึ้นฟองแล้วใส่ครีมออฟทาร์ทาร์ จากนั้นค่อยๆใส่น้ำตาลทรายลงไปทีละน้อยๆ ตีจนไข่ขาวตั้งยอดกลางเกือบแข็ง
  4. นำส่วนของไข่ขาวที่ผสมไว้มาผสมกับแป้งที่ร่อนเตรียมไว้ คนผสมให้เข้ากัน จากนั้นเทใส่พิมพ์เค้กที่เตรียมไว้ นำเข้าอบประมาณ 10 นาที ใช้ไฟ 180 องศาเซลเซียส เมื่อสุกแล้วนำออกจากพิมพ์แล้วพักทิ้งไว้ให้เย็นลง

ขั้นตอนการทำครีมสดสำหรับหน้าเค้ก

  1. ผสมส่วนผสมสำหรับครีมสดทุกอย่างเข้าด้วยกันจากนั้นตีให้ขึ้นฟู
  2. นำเนื้อเค้กที่พักไว้มาปาดเป็น 2 ส่วน แล้วใส่ไส้มะพร้าวอ่อนลงไป ประกบเค้กเข้าด้วยกัน แล้วนำส่วนของครีมสดมาทาให้ทั่ว จากนั้นราดเนื้อมะพร้าวอ่อนบนหน้าเค้กแล้วจึงนำไปแช่เย็นให้เซตตัว เพียงเท่านี้เพื่อนๆสามารถ ทำเค้กมะพร้าวอ่อน ง่ายๆ ไว้ทานคู่กับเมนูเครื่องดื่มสุดโปรดที่บ้านแล้ว

ประโยชน์ของ เค้ก มะพร้าว อ่อน  สารอาหารที่มาจากมะพร้าวเต็มๆ

หลังจากที่เพื่อนๆได้เรียนรู้ สูตรทำ เค้กวันเกิด รสมะพร้าว อ่อน ไปแล้ว วันนี้เราก็มีประโยชน์ของเค้ก มะพร้าว อ่อน มาฝากเพื่อนๆอีกด้วย ในเนื้อมะพร้าว อุดมไปด้วย วิตามินบี 1 บี 2 บี 3 บี 5 และ บี6 ที่ช่วยในการเผาผลาญน้ำตาลให้เป็นพลังงาน และเต็มไปด้วยใยอาหาร อีกทั้งยังมีธาตุเหล็กที่ช่วยในการสร้างเมล็ดเลือดอีกด้วย นอกจากที่จะได้ ทำเค้กมะพร้าวอ่อน ง่ายๆแล้ว ยังได้รู้ประโยชน์ที่ดีต่อร่างกายอีกด้วย ว่าแล้วก็ขอตัวไปชิม เค้กมะพร้าวอ่อนครีมสด ที่ทำในวันนี้กันก่อนดีกว่า หวังว่าสูตรที่เรานำมาฝากในวันนี้ เพื่อนๆจะถูกใจนะคะ

Categories
เค้ก

ชวนมาทำเค้กวันเกิด เค้ก นมสด ทำเป็นของขวัญให้คนพิเศษ

เค้ก นมสด เป็นเค้กที่นิยมอย่างมากที่ทำเป็น เค้กวันเกิด ซึ่งสามารถทำทานกันภายในครอบครัวหรือจะทำขายสร้างรายได้เสริมก็ได้เช่นเดียวกัน เป็นเบเกอรี่ที่หลายคนคิดว่าทำยาก แต่ความจริงแล้วมันง่ายกว่าที่คิด เพียงแค่คุณลองทำตามสูตรและวิธีทำของเรา ที่สำคัญสูตรนี้ไม่ต้องง้อเตาอบด้วยค่ะ

กรรมวิธีการทำ เค้ก นมสด สำหรับให้เป็นของขวัญคนที่คุณรัก ทุกโอกาสพิเศษ

เค้ก นมสดเป็นเค้กที่มีเนื้อสัมผัสนุ่ม รสชาติหอมหวานไปด้วยกลิ่นนมและวนิลา สูตรที่เรานำเสนอนี้เป็น สูตรเค้กใส่วิปปิ้งครีม ซึ่งเป็น สูตรเค้กนุ่มละลายในปาก อีกด้วย ใครพร้อมแล้วมาทำไปพร้อมกันเลย

ส่วนผสม

ส่วนที่1

1.ไข่แดง 4 ฟอง(เบอร์2)

2.น้ำตาลทราย 3 ชต.

3.นมสด รสจืด 1/3 ถต.

4.น้ำมันพืช 4 ชต.

5.เกลือ 1/8 ชช.

6.กลิ่นวนิลา 1 ชช.

7.แป้งข้าวเจ้า 125 กรัม(ถ้าใช้แป้งเค้ก =100กรัม)

8.ผงฟู 1 ชช.

ส่วนที่2

1.ไข่ขาว 4 ฟอง

2.น้ำตาลทราย 4 ชต.

3.น้ำมะนาวสด 1/2 ชช.

ขั้นตอนการทำ

1. แยกไข่แดง ไข่ขาวก่อน

2. นำไข่แดงมาใส่ชามผสม ตามด้วยน้ำตาลทราย คนให้เข้ากันดี

3. ใส่นมจืด เกลือป่น น้ำมันพืช กลิ่นวนิลา คนส่วนผสมให้เข้ากัน

4. ร่อนแป้งและผงฟูลงไป คนส่วนผสมให้เข้ากันดี ไม่จับตัวเป็นก้อน

5. พักส่วนผสมไว้ก่อน

6. นำไข่ขาว เติมน้ำมะนาวลงไป ใช้เครื่องตีให้ขึ้นฟองหยาบ ๆ แล้วใส่น้ำตาลทรายลงไป

7. ตีต่อจนตั้งยอดอ่อน

8. นำไข่ขาวไปผสมกับแป้งส่วนแรก ทีละส่วน

9. นำส่วนผสมไปเทใส่พิมพ์

10. ทาน้ำมันพืชเล็กน้อยบนกระทะเทฟลอน

11. เทเนื้อขนมลงไป ทีละครึ่ง ใช้ไฟอ่อนประมาณ 20 นาที

12. นำเค้กก้อนที่ 1 มาวางบนกระทะ

13. ตีวิปปิ้งครีมให้ตั้งยอดแข็ง แล้วนำมาทาเค้กตามใจชอบ

คุณประโยชน์จากสารอาหารที่มีค่ามากกว่าที่คิด

เค้ก นมสดเป็นอีกหนึ่งเบเกอรี่ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างชื่นชอบในรสสัมผัสของของหวานนี้ แต่บางคนคิดว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรรับประทานเนื่องจากมีแต่โทษ เราจึงได้ทำการรวมรวมข้อมูลเปรียบเทียบกับ เค้กแบบต่าง ๆ รวมถึง เค้กครีมสด สารอาหารอย่างนมสดที่เป็นองค์ประกอบหลักนั้นช่วยอย่างยิ่งในการเสริมสร้างแคลเซียมเพื่อรักษาความแข็งแรงและเพิ่มเติมส่วนที่สึกหรอให้กระดูกและฟัน ช่วยในการแข็งตัวของเลือดเวลาเกิดการบาดเจ็บได้อีกด้วย

Categories
หน้าแรก

ชวนมาทำ คอนเฟลกช็อกโกแลต ทำง่าย ของทานเล่นที่ควรทำไว้ติดบ้าน

คอนเฟลกช็อกโกแลต เป็นขนมที่เกิดขึ้นจากความบังเอิญอย่าแท้จริง ย้อนกลับไปในปี 1894 สมาคมแอดแวนทิสต์ ต้องการสร้างอาหารมังสวิรัติแบบใหม่บ้างจึงพยายามคิดค้นสูตรต่าง ๆ จนกระทั่ง ดร.จอห์น เคลล็อกก์ แพทย์ในเมืองมิชิแกนและวิล เคลล็อกก์ น้องชาย ลืมเมล็ดข้าวสาลีไว้บนเตา และมันกลายเป็นเกร็ดแบบที่เราเห็นคอนเฟลกดังปัจจุบัน เมื่อนำไปให้ผู้ป่วยลองรับประทานปรากฏว่ารสชาติถูกปาก ต่อมามีการเพิ่มรสชาติต่าง ๆ เช่น ช็อกโกแลต กล้วย และสตรอวเบอร์รี

เผยเคล็ด (ไม่) ลับทำ คอนเฟลกช็อกโกแลต ยังไงให้อร่อย เก็บรักษาได้นาน

คอนเฟลกช็อกโกแลตยังคงเป็นอาหารที่ป็อปปูลาร์มาก ทานเป็นมื้อเช้าหรือของว่างก็ได้ เราจะได้เห็น คอนเฟลก รสชาติต่าง ๆ แต่ในวันนี้เราจะมาบอก สูตร คอนเฟลกเคลือบช็อกโกแลต ตามร้าน เบเกอรี่ ดังๆ ให้ทุกคนได้ทำตามกัน รับรองว่าอร่อย และกรอบนานแน่นอน

ส่วนผสม

1. คอนเฟลก 150 กรัม

2. น้ำตาลทรายขาว 25 กรัม

3. นมข้นจืด 30 กรัม

4. เนยเค็ม 40 กรัม

5. น้ำตาลทรายแดง 25 กรัม  

6. เม็ดมะม่วง 50 กรัม

7. ลูกเกด 30 กรัม

8. งาขาว งาดำ 1 ชช.  

9. ผงโกโก้ 20 กรัม

10. เม็ดฟักทอง 30 กรัม

ขั้นตอนการทำ

1. ตั้งหม้อให้อุ่น จากนั้นใส่นมข้นจืด น้ำตาลทรายแดง น้ำตาลทรายขาว คนให้ละลาย

2. ใส่ผงโกโก้ (แบ่งใส่สองครั้ง)

3. ดับไฟ ใส่เนย คนให้ละลาย

4. เตรียมชามผสม ใส่คอนเฟลก งาขาว งาดำ

5. ราดซอสคาราเมลโกโก้ที่ทำไว้ลงไป คลุกเคล้าให้เข้ากัน

6. เกลี่ยคอนเฟลกลงในถาด กระจายให้ทั่ว ๆ

7. เข้าอบไฟ 150 องศาเซลเซียส 10 นาที

8. ครบ 10 นาทีเอามาเคล้า แล้วเข้าอบอีกรอบ

9. นำออกจากเตาอบ คลุกเคล้าไม่ให้ติดกัน

10. เติมเม็ดมะม่วง เม็ดฟักทอง ลูกเกด แล้วคลุกเคล้าให้เข้ากัน

คุณประโยชน์สารพัดของธัญพืช และสรรพคุณดีต่อร่างกาย

คอนเฟลกช็อกโกแลต เป็นขนมที่สามารถทานเพลิน ๆ ระหว่างทำงานหรือเรียนออนไลน์ได้อย่างเอร็ดอร่อย เป็นเมนูที่ช่วยลดน้ำหนักได้ คอนเฟลกช็อกโกแลต กี่แคล 150 แคลอรีเท่านั้น เป็นของหวานที่ดีต่อสุขภาพ สำหรับแม่ค้าพ่อค้าที่สนใจนำสูตรนี้ไปทำขายก็สามารถทำได้ หรือใครจะประยุกต์เป็น คอนเฟลกชาไทย ก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน คุณประโยชน์ใน เบเกอรี่ ชนิดนี้ เป็นอาหารที่ไขมันต่ำ ช่วยเรื่องการขับถ่ายอุดมไปด้วยไฟเบอร์จากธัญพืชหลากหลายชนิด นอกจากนั้นเม็ดมะม่วงยังช่วยลดการดูดซึมไขมัน ช่วยทำให้อิ่มนานขึ้นอีกด้วย ส่วนลูกเกดมีสารต้านอนุมูลอิสระ มีส่วนช่วยบำรุงเลือด บำรุงร่างกาย

Categories
หน้าแรก

ขนมโตเกียว ขนมที่ทุกคนรักสุดหัวใจ

หลาย ๆ คนคงนึกถึงของกินหน้าโรงเรียนตอนประถมและมัธยม เพราะเป็นช่วงเวลาที่ตอนนั้นอะไร ๆ ก็อร่อย และของกินทุกร้านหน้าโรงเรียนนั้นอร่อยไปเสียทุกอย่าง โดยเฉพาะอะไรที่เป็นขนม วันนี้เลยจะพาทุกคนไปหวนลำลึกถึง ขนมโตเกียว ที่ไม่ได้มาจากญี่ปุ่น แต่อร่อยถูกปากคนไทยจนเหลือเชื่อ และขอบอกเลยว่าวิธีการทำนั้นก็แสนจะง่าย ไม่มีอะไรยากซับซ้อน เหมาะสำหรับมือใหม่ที่กำลังหัดทำขนมมาก ๆ เลยด้วย ถ้าพร้อมแล้วก็ตามมาเลย

ขนมโตเกียว ทำง่ายแต่อร่อยมาก

ในวันนี้เราก็จะมาแจกสูตรแป้งโตเกียว เป็นสูตรแป้งโตเกียวไม่ใส่ผงฟูแต่ยังได้เป็นโตเกียวแป้งทอดกรอบอยู่เช่นเคย โดยวัตถุดิบหลักจะมี

1.แป้งอเนกประสงค์

2.แป้งข้าวเจ้า หรือ แป้งมันสำปะหลัง (เลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่ง)

3.ไข่ไก่

4.น้ำตาล

5.เกลือ

6.นมสด

7.น้ำปูนใส

9.กลิ่นวานิลลา (ใช้เพื่อเพิ่มกลิ่น หากไม่มีสามารถข้ามไปได้)

10.ผงฟู

(แต่หากใครที่ไม่เก่งในการทำอาหารเลยจริง ๆ ก็สามารถหาซื้อแป้งโตเกียวสำเร็จรูป แม็คโครมาทำได้เช่นกัน)

ต่อไปจะเป็นสูตรแป้งโตเกียวกรอบนอกนุ่มใน วิธีทำให้แป้งขนมโตเกียวอร่อยยิ่งขึ้น (หรือจะปรับเปลี่ยนเป็นแบบวิธีทำโตเกียว แป้งเค้กก็ได้ด้วยนะ)

1.นำไข่ไปตีกับน้ำตาลให้ละลาย จากนั้นนำแป้งที่ร่อนแล้ว ผงฟู และเกลือลงไปคนให้เป็นเนื้อเดียวกัน

2.ใส่น้ำปูนใสลงไปผสมแล้วคนให้เข้ากันอีกครั้ง

3.จากนั้นให้ใส่นมและตีแป้งอีกครั้ง (ขั้นตอนนี้สำหรับใครที่มีวานิลลาให้ใส่ได้เลย)

4.ตั้งไฟกระทะที่ปานกลาง จากนั้นทาเนยบาง ๆ จนทั่วกระทะ

5.เมื่อแป้งใกล้จะสุกเต็มที่ ให้ใส่ไส้ที่ต้องการได้เลย

ในด้านของไส้ขนมโตเกียว ส่วนใหญ่จะมีดังนี้

1.ไข่นกกระทา

2.ไส้กรอก

3.หมูสับ

4.ต้นหอม

5.ซอสปรุงรส

6.พริกเผา

7.ปูอัด

8.ซอสพิซซ่า

9.ชีส

แต่เชื่อว่าจะมีอีกหนึ่งไส้ที่เป็นขวัญใจของทุกคน นั่นก็คือ ไส้หวาน วันนี้เลยจะมาแนะนำสูตรวิธีทำโตเกียวไส้หวานกันด้วย

1.ไข่ไก่

2.น้ำตาล

3.เนย

4.นม

5.เกลือป่น

วิธีทำก็ง่ายมาก เพียงแค่ตีไข่ไก่ เกลือ และน้ำตาลให้เข้ากัน จากนั้นค่อย ๆ เทนมลงไปและคนเรื่อย ๆ จากนั้นให้ตั้งไฟอ่อน ค่อย ๆ คนจนทุกอย่างเริ่มหนืด ให้ใส่เนยลงไปจนเข้ากัน เท่านี้ก็จะได้แล้ว ส่วนใครอยากได้ไส้หวานแต่เป็นโตเกียวไส้สังขยา ก็ให้นำน้ำใบเตยมาผสม เท่านี้ก็จะได้ไส้หวานที่เป็นสีเขียวแล้ว

ขนมโตเกียว หลากไส้หลากความอร่อย

จบลงไปแล้วสำหรับการทำขนมโตเกียว นอกจากจะทำง่ายและอร่อยแล้ว ยังช่วยให้นึกถึงบรรยากาศตอนเด็ก ๆ ได้เป็นอย่างดีเลย และข้อดีของการทำที่บ้านคือไม่ต้องสนใจว่าไส้โตเกียวมีอะไรบ้าง เพราะเราสามารถใส่ทุกอย่างได้ตามใจชอบเลยนั่นเอง

Categories
ขนมไทย

ฮันนี่โทสต์ เมนูขวัญใจคนรักขนมหวาน

เชื่อว่าหลาย ๆ คนจะชอบทานขนมหวานกันเป็นประจำอยู่แล้ว โดยเฉพาะสาว ๆ วัยรุ่นย่อมไม่พลาดแน่ ๆ แต่จะให้ไปกินที่ร้านบ่อย ๆ ก็อาจจะเหนื่อยกับการเดินทาง หรือหากให้ทำเองก็คงไม่อร่อยเท่าที่ร้านแน่ ๆ แต่วันนี้จะมาแนะนำขนมหวานที่ทำเองได้ง่าย ๆ และไม่มีใครไม่ชอบกินนั่นก็คือ ฮันนี่โทสต์ ขนมปังปอนด์หวานมันพร้อมท็อปปิ้งผลไม้และไอติม ขอบอกเลยว่าทำกินเองที่บ้านฟินสุด ๆ

สูตรง่าย ๆ แบบไม่ลับของ ฮันนี่โทสต์

สำหรับสูตรเมนูฮันนี่โทส

จะใช้วัตถุดิบหลัก ๆ คือ

1.ขนมปังปอนด์แบบหนา ๆ เพื่อความจุใจในการกิน

2.เนยสดชนิดเค็ม

3.น้ำผึ้ง เพิ่มความหวานหอม

4.ไอศกรีม รสใดก็ได้ที่ชื่นชอบ

5.ผลไม้ ชนิดใดก็ได้ที่ชื่นชอบ

หรืออาจจะเพิ่มรสชาติอื่น ๆ ให้กับฮันนี่โทสต์เช่น ซอสช็อกโกแลต อัลมอนด์ น้ำตาลไอซิ่ง หรือจะเป็นขนมกรุบกรอบเวเฟอร์เพื่อเพิ่มรสสัมผัสก็ได้เช่นกัน สามารถออกแบบรสชาติได้ตามต้องการ หากใครชอบผลไม้จะทำเป็นฮันนี่โทสผลไม้รวมก็ได้ หรือหากใครชอบกินไอติมมาก ๆ จะออกแบบเป็นไอติมฮันนี่โทสต์ ก็ได้เช่นเดียวกัน แต่หลัก ๆ แล้วเราที่ไม่เปลี่ยนคือการหั่นขนมปังออกมาเป็นช่อง ๆ แล้วทาเนยลงไปจนทั่วขนมปัง แต่ขอย้ำอีกครั้งว่าควรหั่นขนมปังในขนาดที่ใหญ่เป็นพิเศษ

ซึ่งต่อไปจะเป็นในส่วนของฮันนี่โทสต์ วิธีทํา ก็จะง่ายมาก ๆ จึงอยากขอแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบคือ

1.ฮันนี่โทสต์แบบใช้เตาอบ

จะเปิดเตาวอร์มไว้ 10 นาที ใช้ไฟ 180 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 15 นาที (จากที่แนะนำไปว่าให้เอาเนยทาขนมปังให้ทั่วก็เพราะเมื่อนำไปอบในอุณหภูมิที่สูง จะทำให้ขนมปังกรอบนอกนุ่มในอยู่)

2.ฮันนี่โทส ไมโครเวฟ

สำหรับบ้านใครที่ไม่มีเตาอบ หรือเป็นมือใหม่อยากลองทำก็สามารถใช้ไมโครเวฟได้เช่นกัน โดยเราจะใช้อบอยู่ที่ 2 นาทีในความร้อนประมาณ 800 วัตต์ (หากเป็นไมโครเวฟรุ่นเก่าให้หมั่นเปิดออกมาเพื่อเช็คความแห้งของขนมปัง)

3.วิธีทําฮันนี่โทส กระทะ

ส่วนบ้านใครที่ไม่มีไมโครเวฟ หรืออยากลองใช้กระทะมากกว่าเพื่อความท้าทาย ก็ย่อมได้เช่นกัน ให้ใช้ไฟอ่อนรอจนเริ่มร้อนค่อยใส่เนยสดลงไปละลายให้ทั่วกระทะ จากนั้นนำขนมปังลงไปปิ้งให้เป็นสีน้ำตาลดูกรอบน่ากินทั้งสองด้าน

ทำฮันนี่โทสต์กินเองที่บ้านแบบฟิน ๆ

แค่นี้ทุกคนก็จะได้กินฮันนี่โทสต์ ทําเอง อร่อย ๆ แบบไม่ต้องง้อใครแล้ว ขอบอกเลยว่าทำง่ายมาก ๆ ไม่มีขั้นตอนอะไรที่ซับซ้อนเลย เหมาะกับคนที่อยากเริ่มทำอาหารหรือขนมด้วยตัวเองสุด ๆ หวังว่าบทความนี้จะเปลี่ยนให้ทุกคนที่ยังกินฮันนี่โทส สําเร็จรูปมาทดลองทำฮันนี่โทสต์กินเองที่บ้าน และออกแบบไอเดียเพื่อมาตกแต่งฮันนี่โทสสวยๆไปอวดเพื่อนกันให้อิจฉากันด้วย

Categories
ขนมไทย

ขนมดอกจอก ขนมไทยโบราณแสนอร่อย

ขนมไทยเป็นที่ยอมรับของคนไทยเองและของโลกว่าหน้าตาสวยงาม มีสีสันดูน่ารับประทาน และยังมีรสชาติที่อร่อยเป็นเอกลักษณ์มาก ๆ อีกด้วย แต่ในยุคปัจจุบันนี้ที่ใคร ๆ ก็พาไปกินเมนูขนมหวานจากต่างประเทศ ทำให้หลายๆ คนหลงลืมขนมไทยกันไป โดยฉพาะอย่างยิ่งคือขนมไทยโบราณ วันนี้เลยอยากจะมาแนะนำสูตร ขนมดอกจอก ขนมไทยโบราณที่ทำได้ง่ายๆ ที่บ้าน เหมาะอย่างยิ่งกับกิจกรรมครอบครัวเพื่อให้เด็กๆ ได้รู้จักขนมไทยเมนูนี้นั่นเอง

ขนมดอกจอก บางกรอบ หวานอร่อย

ในการทำขนมดอกจอก ขอบอกเลยว่านี่เป็นสูตรดอกจอกโบราณที่อร่อยสุด ๆ โดยส่วนผสมก็จะมีดังนี้

1.แป้งข้าวเจ้า

2.แป้งมัน

3.น้ำตาลทราย

4.เกลือ

5.น้ำปูนใส

6.หัวกะทิ

7.ไข่ไก่

8.สีผสมอาหาร (สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามที่ชื่นชอบได้เลย)

9.งาดำ หรือ งาขาว

ต่อไปจะเป็นขั้นตอนในการทำขนมดอกจอก

1.ผสมแป้งข้าวเจ้า แป้งมัน น้ำตาลทราย และเกลือป่นคนให้เข้ากัน

2.เมื่อเข้ากันแล้ว ให้ใส่น้ำปูนใส ไข่ไก่ และหัวกะทิ จากนั้นให้ตีให้เข้ากันใหม่อีกครั้ง

3.จากนั้นให้นำไปกรองเพื่อให้ได้แป้งที่เนื้อเนียน

4.แบ่งสัดส่วนแป้งไปผสมกับสีผสมอาหาร (หากต้องการสีธรรมชาติของแป้งสามารถข้ามขั้นตอนนี้ไปได้ หรือหากต้องการให้มีรสชาติของสีธรรมชาติ ก็สามารถใช้น้ำอัญชันให้กลายเป็นดอกจอกอัญชันได้ รวมไปถึงใบเตย หรือกระเจี๊ยบก็ด้วย)

5.จากนั้นให้ใส่งาดำหรืองาขาวเล็กน้อยเพื่อเพิ่มความหอมของขนมจอกโบราณ

6.ตั้งไฟ ใส่น้ำมันในกระทะในจำนวนมาก และรอให้น้ำมันเดือด (ขั้นตอนนี้จะต้องรอนิดหน่อย เป็นวิธีทำดอกจอกไม่อมน้ำมัน)

7.นำแม่พิมพ์ดอกจอกลงไปวอร์มในกระทะที่กำลังเริ่มร้อน

8.นำแม่พิมพ์กลับมาจุ่มที่แป้ง และนำไปลงในกระทะ (ขณะที่จุ่มแป้งรอให้แป้งบางส่วนไหลออกไปก่อน เพื่อให้ได้ดอกจอกบางกรอบ)

9.เปลี่ยนไฟให้อยู่ในระดับกลาง นำแม่พิมพ์ลงไปทอดทิ้งไว้เพียง 2-3 วินาทีเท่านั้น ก่อนจะค่อย ๆ เขย่าให้ตัวแป้งที่เซ็ตตัวหลุดออกจากแม่พิมพ์

10.กลับด้านให้ดอกจอกโบราณสุกทั้งสองด้าน แล้วค่อยนำขึ้นมาจัดทรงกับก้นถ้วยให้บานเป็นรูปดอกไม้

เท่านี้ก็จะได้รสชาติขนมดอกจอกที่หอม อร่อยถูกปาก และมีหน้าตาสวยงามมาก ๆ อย่างแน่นอน

ขนมดอกจอกมีประโยชน์กว่าที่คิด

ก็จบลงไปแล้วสำหรับการมาแนะนำสูตรขนมดอกจอก ขนมไทยโบราณที่หาไม่ได้แล้วในตอนนี้ นอกจากความอร่อยและสีสันหน้าตาสวยงามของขนมชนิดนี้แล้ว ขนมดอกจอกประโยชน์ของขนมยังมากกว่าขนมหวานเมนูอื่น ๆ อีกด้วย เพราะมีความพอดีของพลังงานที่ได้รับในแต่ละชิ้น เรียกได้ว่าใครอยากกินแต่ห่วงสุขภาพ เมนูนี้นับว่าตอบโจทย์เลย

Categories
ขนมไทย

อาลัว ขนมไทยไซส์น่ารัก

ในช่วงหลัง ๆ มานี้ขนมไทยเริ่มกลับมาเป็นกระแสมากขึ้น ไม่ใช่เพียงคนสูงอายุหรือวัยกลางคนเท่านั้นที่หันกลับมาสนใจขนมไทย แต่เป็นวัยรุ่นเสียส่วนใหญ่ แต่ขนมไทยก็ต้องยอมรับว่าทำยากมาก ให้ซื้อกินยังง่ายกว่า แต่ก็จะพบกับปัญหาอีกสิ่งหนึ่งคือร้านขนมไทยค่อนข้างน้อยแล้ว วันนี้เลยจะพาทุกคนไปทดลองทำขนมหวานไทยง่าย ๆ อย่าง อาลัว ขนมไทยไซส์เล็กสีสันสดใส ไม่ว่าใครก็ชอบกิน ถ้าอยากรู้ว่าเป็นอย่างไรก็ตามมากันได้เลย

ทำอาลัวอยู่บ้านแบบชิล ๆ

ส่วนผสมของอาลัวจะมี

1.แป้งสาลี

2.แป้งถั่วเขียว

(คำถามที่สำคัญมาก ๆ คืออาลัว ใช้แป้งอะไร จากหลาย ๆ สูตรขอบอกเลยว่าการใช้สองแป้งนี้รวมกันจะอร่อยมาก ๆ)

3.น้ำตาลทราย

4.เกลือ

5.กะทิ

6.กลิ่นมะลิ (เพื่อความหอม สามารถเปลี่ยนเป็นกลิ่นอื่นก็ได้ หรือจะไม่ใส่เลยก็ได้เช่นเดียวกัน)

7.สีผสมอาหาร (สามารถเลือกสีที่ต้องการได้เลย)

อาลัว วิธีทำจะมีขั้นตอนอยู่ 2 ขั้นตอนหลัก ๆ คือในส่วนของการทำแป้งและการอบ

1.การทำแป้งอาลัวนั้นจะเริ่มจาก นำแป้งสาลี แป้งถั่วเขียว น้ำตาลทราย เกลือ เทใส่กระทะและคนทุกอย่างให้ละลายรวมกันเป็นเนื้อเดียว

2.ใส่สีผสมอาหารและคนให้ละลายทั่ว (แนะนำว่าค่อย ๆ ใส่เพื่อระวังไม่ให้สีเข้มเกินความต้องการ)

3.จากนั้นเปิดเตาไปที่ไฟอ่อนสุด ค่อย ๆ กวนแป้งจนสุกและพักให้แป้งอุ่นลง (กวนจนแป้งดูมีสีใส)

ขั้นตอนต่อไปเป็นการอบขนมอาลัว มีหลายคนกังวลใจมากว่าอาลัว ใช้เตาอบแบบไหนความจริงแล้วสามารถใช้วิธีทำอาลัว เตาอบหรือจะทำอาลัว ไมโครเวฟก็ได้เช่นกัน เพียงแค่จะต้องคอยหมั่นเปิดดูขนมอย่างต่อเนื่อง ส่วนวิธีอบนั้นจะเป็น

1.หลังจากนำแป้งมาพักให้ยังอุ่นอยู่ จากนั้นนำใส่ถุงบีบและนำหัวบีบรูปดาวมาใช้ (หากใครอยากได้อาลัวดอกไม้หรือรูปแบบอื่นก็สามารถนำมาใช้ได้)

2.บีบแป้งบนกระดาษไขที่รองถาดอบไว้ให้ห่างมีช่องไฟพอดี ไม่ติดกันเกินไป

3.นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 60-100 องศาเซียลเซียสเป็นเวลา 30-1 ชั่วโมง ทำแบบนี้ทั้งหมด 4 รอบ หรือหากใครที่ไม่มีเตาอบอะไรเลย ก็สามารถใช้สูตรโบราณซึ่งเป็นวิธีทำอาลัว ไม่อบโดยการนำไปตากแดด 2-4 วัน นั่นเอง

อาลัว ขนมไทยทำง่ายเก็บได้นาน

ก็จบลงไปแล้วสำหรับอาลัว ขนมหวานไทยโบราณที่อร่อย กินได้เพลิน ๆ ไม่มีเบื่อ สำหรับสูตรอาลัวที่นำมาฝากทุกคนในวันนี้สามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยตัวเอง หากใครที่กำลังสงสัยว่าอาลัวสด เก็บได้กี่วัน สามารถเก็บไว้ไประมาณ 7 วันเลยทีเดียว เรียกได้ว่าทำแป้งครั้งเดียวแล้วค่อย ๆ แบ่งทำเป้นขนมได้ตลอด

Categories
ขนมไทย

ขนมพระพาย ขนมไทยโบราณสีน่ารัก

เชื่อว่าหลาย ๆ คนต้องมีขนมไทยในใจที่ชอบกันอยู่หลายเมนู ทั้งที่สามารถหาซื้อได้ง่ายในตอนนี้และหาซื้อไม่ได้อีกแล้ว แต่แน่นอนว่าด้วยความเป็นขนมหวานไทย ย่อมมีบางเมนูที่ไม่เป็นที่รู้จักในหมู่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขนมไทยโบราณที่ทุกวันนี้แทบไม่มีใครรู้จักเลย วันนี้จึงอยากจะมาแนะนำสูตรขนมไทยอย่าง ขนมพระพาย ขนมไทยโบราณที่มีสีสันสดใส เหมาะกับวัยรุ่น อร่อยทานง่ายและยังทำง่ายมาก ๆ อีกด้วย

ขนมพระพาย ทานง่าย ทำก็ง่าย

ในการทำขนมพระพายตามแบบฉบับของสูตรขนมไทยชาววังจะแบ่งออกเป็น 3 องค์ประกอบหลักนั่นก็คือแป้งห่อ ไส้ และกะทิราด ซึ่งจะมีวัตถุดิบหลัก ๆ ดังนี้

วัตถุดิบทำแป้งขนมพระพาย

1.แป้งข้าวเหนียว

2.แป้งข้าวเจ้า

3.กะทิ

4.น้ำอัญชัน

5.น้ำใบเตย

6.น้ำกระเจี๊ยบ

วัตถุดิบทำไส้

1.ถั่วเขียว

2.น้ำเปล่า

3.กะทิ

4.น้ำตาลทราย

วัตถุดิบทำกะทิราด

1.กะทิ

2.แป้งข้าวเจ้า

3.เกลือ

วิธีทำขนมพระพายจะเริ่มจากการทำแป้งและกะทิพร้อม ๆ กันไป

1.นำแป้งข้าวเหนียวและแป้งข้าวเจ้ามารวมกัน

2.นำกะทิแบ่งออกเป็น 3 ส่วนและเอาไปผสมกับน้ำอัญชัน น้ำใบเตย และน้ำกระเจี๊ยบ

3.จากนั้นแบ่งแป้งออกเป็น 3 ส่วนเช่นกัน และนำไปผสมกับกะทิที่มีสีทั้ง 3 ส่วน

4.นวดแป้งประมาณ 15 นาทีและพักไว้ ก็จะได้แป้งขนมพระพายหลากสี

5.นำกะทิส่วนที่เหลือเพื่อไว้ใช้ราด ไปผสมกับแป้งข้าวเจ้าและเกลือ

6.ตั้งไฟอ่อน ๆ คนกะทิจนเริ่มเหนียวขึ้นเล็กน้อย ค่อยนำไปพัก

วิธีทำไส้ตามแบบฉบับของขนมโบราณชาววัง

1.นำถั่วเขียวไปแช่น้ำร้อน 3 ชั่วโมงและแช่น้ำเปล่า 1 คืน

2.เอาถั่วไปล้างให้สะอาดและนำไปนึ่ง

3.เมื่อถั่วเขียวสุก นำไปปั่นหรือตำให้ละเอียดเป็นเนื้อเนียน

4.ตั้งไฟกระทะปานกลาง นำถั่วที่บดไว้ไปผัดกับน้ำตาล ก่อนจะนำมาปั้นเป็นก้อนกลม ๆ พอดีคำ

จากนั้นให้นำแป้งที่พักไว้ มาปั้นเป็นก้อนกลมและแบะแป้งให้แบน นำมาห่อหุ้มตัวถั่วเขียว จากนั้นวางบนแผ่นใบตอง และนำไปนึ่งประมาณ 10 นาที เท่านี้ก็จะได้ขนมพระพาย ขนมไทยหาทานยากที่เราสามารถทำทานเองที่บ้านแบบง่าย ๆ ไม่ต้องไปตามหาร้านให้ยุ่งยากแล้ว

ขนมพระพายขนมไทยที่อร่อยจนยากจะลืม

ก็จบลงไปแล้วสำหรับสำหรับการมาแจกสูตรขนมพระพายหวังว่าจะทำให้ทุกคนได้รู้จักกับขนมพระพายกันมากยิ่งขึ้น และก็สามารถนำสูตรนี้ไปทำขายได้ด้วยเช่นกัน โดยหากแนะนำแล้ว สามารถขายขนมพระพาย ราคาเซ็ตละประมาณ 40-50 บาทได้เลย ไม่ว่าใครก็จะมีกำลังซื้อและได้รู้จักกับขนมไทยโบราณนี้เพิ่มขึ้น

Categories
เค้ก

มูสช็อกโกแลต ขนมหวานสุดอร่อยทำได้ง่าย ๆ ที่บ้าน

กลับมาอีกครั้งกับบทความเอาใจสายหวาน เพราะเชื่อว่ามีหลายคนมาก ๆ ที่ชื่นชอบขนมหวานและอยากจะลองหัดทำ แต่ปัญหาที่พบคือการทำขนมนั้นแสนจะยาก และที่สำคัญยังใช้วัตถุดิบรวมไปถึงอุปกรณ์ที่เยอะแยะมากมาย จนต้องล้มเลิกความตั้งใจไปในที่สุด วันนี้เราเลยจะมาแนะนำเมนูอย่าง มูสช็อกโกแลต ขนมหวานทำง่าย ๆ ที่บ้าน ไม่ต้องง้ออุปกรณ์อะไรให้ยุ่งยาก ขอบอกเลยว่าถูกใจมือใหม่หัดทำขนมอย่างแน่นอน ถ้าอยากรู้ว่าเป็นยังไงก็ตามมาได้เลย

อร่อยเพลิน ๆ ไปกับ มูสช็อกโกแลต หวานนุ่มละมุนลิ้น

มูสช็อกโกแลตสูตรที่จะแนะนำในวันนี้มีวัตถุดิบหลัก ๆ คือ

1.ดาร์กช็อกโกแลต

2.ไข่แดง

3.ไข่ขาว

(ไข่ขาวและไข่แดงในปริมาณเท่ากัน แค่แยกทั้งสองออกจากกันเท่านั้น)

4.วานิลลาเข้มข้น (หรือสามารถเปลี่ยนไปใช้เป็นวานิลลาสดก็ได้)

5.น้ำตาล

6.วิปปิ้งครีม

7.ผลไม้รสเปรี้ยวเพื่อตัดรส

มูสช็อกโกแลต วิธีทำขอบอกเลยว่าง่ายมาก ๆ เรียงขั้นตอนได้เลยดังนี้

1.ละลายดาร์กช็อกโกแลต

2.ตีไข่แดงและค่อย ๆ ใส่น้ำตาลลงไปทีละน้อย คนให้น้ำตาลละลายและไข่แดงขึ้นฟูสีขาวเนียน

3.ค่อย ๆ ใส่วานิลลาลงไป (ระวังไม่ให้ใส่เยอะเกินเพื่อไม่ให้กลิ่นวานิลลากลบมูสช็อกโกแลต)

4.นำช็อกโกแลตที่ละลายกำลังอุ่น ๆ ค่อย ๆ ใส่ลงไปในไข่ทีละนิดเพื่อไม่ให้ไข่สุกไวเกินไป จากนั้นตีให้ทั้งหมดเข้ากัน

5.ตีไข่ขาวให้ฟูเป็นสีขาว

6.นำไข่ขาวลงไปและคนให้เข้ากับช็อกโกแลต

7.จากนั้นเทใส่แก้วและนำไปแช่ตู้เย็นประมาณ 2-3 ชั่วโมง

8.ตกแต่งด้วยผลไม้รสเปรี้ยวและสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับมูสช็อกโกแลต วิปครีมนั่นเอง

สำหรับใครทีต้องการปรับเปลี่ยนเป็นมูสช็อกโกแลตเค้กหรือจะเป็นไวท์ช็อกโกแลตมูสเค้กก็สามารถใช้แป้งสาลีอเนกประสงค์เพื่อทำเค้กแบบง่าย ๆ ก็ได้ ถ้าใครกังวลว่ามูสเค้กละลายไหมบอกเลยว่าไม่แน่นอน นอกจากว่าจะตั้งทิ้งมูสช็อกโกแลตไว้ในอากาศที่ร้อนและนานจนเกินไปนะ

มูสช็อกโกแลตเย็น ๆ เก็บไว้ทานเมื่อไหร่ก็ได้

จบลงไปแล้วสำหรับเมนูขนมหวานอย่างมูสช็อกโกแลต จะเห็นได้ว่าทำง่ายจริง ๆ ซึ่งหากใครที่กำลังดูแลสุขภาพอยู่แต่อยากทำขนมกินก็สามารถปรับเปลี่ยนสูตรเป็นมูสช็อกโกแลต คลีนจากการเลือกใช้น้ำตาลหรือช็อกโกแลตที่ใช้ความหวานทดแทนได้ นอกจากนี้หากเป็นกังวลว่าทำมูสช็อกโกแลต เก็บได้กี่วัน ขอบอกเลยว่าทำทีนึงเก็บไว้กินได้นาน ๆ เลย รู้แบบนี้ต้องลองทำกินเองแล้วล่ะ